วัณโรค เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium Tuberculosis [ TB ]
เชื้อ TB มีระยะฟักตัวอยู่ที่ 4-8 สัปดาห์ หลังจากร่างกายรับเชื้อ TB จากระบบทางเดินหายใจ โดยหลังจากฟักตัว จะเริ่มทำลายเซลล์ที่อยู่รอบ ๆ ทำให้เกิดอาการปอดอักเสบ และ กลายไปเป็นปอดอักเสบ แบบเรื้อรัง
อาการ เริ่มแรก เมื่อเชื้อ TB เริ่มเข้าไปทำลายปอด
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดแบบไม่ทราบสาเหตุ
- มีไข้ต่ำ ๆ
- เหงื่อออกตอนกลางคืน
- มีอาการ หนาวสั่น
- ระยะแรกมีอาการไอแห้ง ๆ ต่อมาไอแบบมีเสมหะ และ ไอมากยิ่งขึ้นเวลาเข้านอน ตื่นนอนตอนเช้า หรือหลังอาหาร
- มีอาการไอเรื้อรังยาวนานถึง 3 สัปดาห์หรือมากกว่านั้น
- ไอแล้วเสมหะมีเลือดปนออกมา
- ผู้ที่เป็นมาก ๆ จะไอแล้วมีอาการหอบร่วมด้วย หรือ มีก้อนเลือดสีดำ หรือแดงออกมาเวลาไอ
- บางรายอาจมีอาการ เจ็บหน้าอก แต่ไม่ไอ กรณีนี้ จะตรวจพบโดยบังเอิญ เห็นจุดในปอดจากการ X-Ray ปอด
- มีอาการเหนื่อยง่ายกว่าปกติ
อาการที่ต้องระวัง มีอาการไอติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์ หรือมีอาการไอและมีเสมหะปนเลือด ควรรีบไปพบแพทย์
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดวัณโรคปอดมีหลายอย่าง เช่น
- ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอ (เช่น เป็นโรคเอดส์ หรือ ผู้ป่วยให้ยาเคมี ) มีโอกาส ที่เชื้อฉวยโอกาส (เช่น TB) จะเข้าสู่ร่างการได้ง่าย
- อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดวัณโรคสูง เช่น
- อาศัยอยู่กับผู้ที่ติดเชื้อวัณโรค
- เดินทาง ไปประเทศ ที่มี ประชากร มีการติดเชื้อ วัณโรคปอดมาก
- ทำงานในสถานพยาบาล ที่ไม่มีระบบการ Precaution ที่ดี
- อาศัยอยู่ในที่แออัด คับแคบ อากาศไม่ถ่ายเท เช่น เรือนจำ
การวินิจฉัย โรควัณโรคปอด
- การซักประวัติและการตรวจร่างกาย เช่น
- การคลำบริเวณต่อมน้ำเหลือง
- ฟังเสียงในปอด
- X-Ray ปอด
- การตรวจเสมหะ (Sputum AFB)
การรักษาวัณโรคปอดที่ใช้บ่อยที่สุด
- รักษาด้วยยา Anti TB Agents กลุ่มยา (HRZE) นาน 6 เดือน
- ไอโซไนอะซิด (Isoniazid : H) – ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ของเชื้อ
- ริฟามพิน (Rifampin : R) – ยับยั้งการสร้าง ดีเอ็นเอ (DNA) ของเชื้อ
- ไพราซีนาไมด์ (Pyrazinamide : Z) – ยับยั้งการสร้างกรดไขมันและโปรตีนที่จำเป็นต่อเชื้อ
- เอทแทมบูท (Ethambutol : E) – ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ของเชื้อ
ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นวัณโรคชนิดที่ดื้อยา แพทย์จะปรับแผนการรักษา โดยใช้ยาชนิดที่รักษา วัณโรคดื้อยา