บางท่านอาจเคยมีประสบการณ์ปวดปัสสาวะขณะที่รถติดยาวหลายกิโลเมตร ดูทีท่าแล้วไม่ขยับในเวลาอันใกล้แน่ๆ หาปั้มบริการน้ำมันใกล้ๆ ก็ไม่พบ ต้องทนปวดไปก่อน พอถึงที่หมาย มีอาการปวดท้องน้อย

ปัสสาวะแสบขัด

ถ้าเคยมีประสบการณ์แบบนี้ คุณกำลังเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบขับปัสสวาะ สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศ ทุกวัย ส่วนใหญ่มักเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย สาเหตุก็มาจากท่อปัสสาวะของผู้หญิงนั้น สั้นกว่าของผู้ชายมาก จึงมีโอกาสติดเชื้อจากอวัยที่อยู่ใกล้เคียง เช่น ช่องคลอด หรือรูทวารหนัก

ความเสี่ยงในการเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

  1. การกลั้นปัสสาวะ ทำให้มีปัสสาวะเหลือค้างในกระเพาะปัสสาวะ เกิดการสะสมของแบคทีเรียซึ่งนำไปสู่การติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นเมื่อปวดปัสสาวะ ไม่ควรกลั้นปัสสาวะ หรือถ้ามีเหตุสุดวิสัย เช่น การจราจรติดขัด อาจจะใช้ถุงสำหรับปัสสาวะ และควรวางแผนการเดินทางไกล โดยการปัสสาวะก่อนออกเดินทาง
  2. การดูแลสุขอนามัยบริเวณอวัยวะเพศที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะผู้หญิง ที่มีช่องคลอด และรูทวารหนักอยู่ใกล้เคียงกับรูเปิดของท่อปัสสาวะ ดังนั้นจึงควรทำความสะอาดให้ถูกต้อง โดยการเช็ดทำความสะอาดจากหน้าไปหลัง ห้ามย้อนทาง เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียจากอวัยวะข้างเคียงมาปนเปื้อนบริเวณรูเปิดท่อขับปัสสาวะ ซึ่งจะนำไปสู่การติดเชื้อ และเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้
  3. ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ผู้ป่วยที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน หากควบคุมโรคได้ไม่ดี จะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย จึงควรควบคุมโรคประจำตัวให้ดี โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
  4. การตั้งครรภ์ พบว่าผู้ป่วยจำนวนหนึ่ง ที่ไม่เคยเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบมาก่อน เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบระหว่างตั้งครรภ์ เนื่องจากภาวะภูมิคุ้มกันที่ต่ำลงระหว่างการตั้งครรภ์ ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์ทุกคนควรได้รับการตรวจปัสสาวะเป็นระยะ ระหว่างการตั้งครรภ์ และได้รับการรักษาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่อมารดาและบุตรในครรภ์
  5. เพศสัมพันธ์
  6. การสวนล้างช่องคลอดด้วยยาปฏิชีวนะ ทำให้เกิดการทำลายแบคทีเรียตัวดี ที่ทำหน้าที่ป้องกันโรค จึงเกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

อาการแสดงของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

อาการที่เด่นชัดที่สุดคือ มีอาการปวดท้องน้อยเวลาปัสสาวะ ปัสสวาะแสบขัด ปัสสาวะขุ่น และอาจมีเลือดปน ถ้ามีอาการเหล่านี้ ควรจะไปพบแพทย์ เพื่อได้รับการตรวจวินิจฉัยแต่เนิ่นๆ และได้รับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม

การตรวจวินิจฉัยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะทำการซักประวัติ และตรวจร่างกาย ร่วมกับส่งปัสสาวะตรวจทางห้องปฏิบัติการ แต่ถ้ามีอาการกลับเป็นซ้ำหลายครั้ง หรือได้รับการรักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจจะมีการส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ส่งปัสสาวะเพาะเชื้อ ตรวจอัสต้าซาวด์ หรือส่องกล้องตรวจกระเพาะปัสสาวะ เพื่อตรวจความผิดปกติในกระเพาะปัสสาวะ ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ภาวะนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น

การรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ การรักษาหลักๆ คือ การกินยาปฏิชีวนะ ประมาณ 3-5 วัน ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ ร่วมกับการรักษาตามอาการ เช่น ยาแก้ปวด ยากลายการบีบตัวของกระเพาะปัสาวะ เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยควรรับประทานยาปฏิชีวนะให้ครบตามคำแนะนำของแพทย์ แม้อาการจะดีขึ้นก่อนก็ตาม เนื่องการรับประทานยาปฏิชีวนะไม่ครบ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการกลับเป็นซ้ำ และการเกิดเชื้อดื้อยาได้ โดยทั่วไปอาการจะดีขึ้นภายใน 24-48 ชม. หลังได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

การป้องกันโรค และการดูแลตัวเองของผู้ป่วย

  1. ไม่กลั้นปัสสาวะ
  2. รักษาสุขอนามัยบริเวณอวัยวะเพศด้วยการทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลัง
  3. ไม่สวนล้างช่องคลอดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
  4. หลังมีเพศสัมพันธ์ ควรปัสสาวะทิ้งและทำความสะอาดร่างกายทันที
  5. ควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น เบาหวาน

สุดท้ายถ้ามีอาการดังกล่าวข้างต้น หรือสงสัยว่าจะเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ และรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมค่ะ

พญ.กัญญวิสาข์ ตั้งกิจวณิชย์เจริญ
อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ