“มะเร็งตับ” จัดเป็นโรคมะเร็งที่พบได้ในเพศชายเป็นอันดับต้นๆในประเทศไทย ในเพศหญิงมีพบได้เช่นกันแต่ไม่มากเท่าเพศชาย

ตับ เป็นอวัยวะที่อยู่ในช่องท้องส่วนบนขวาของร่างกาย แบ่งได้เป็นสองส่วนใหญ่คือตับขวาซึ่งมีขนาดใหญ่และตับซ้ายซึ่งเล็กกว่า ตับทำหน้าที่สร้างสารโปรตีนที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตรวมทั้งสารพิษต่างๆและขับออกทางน้ำดี ซึ่งสุดท้ายจะระบายออกทางรูเปิดที่ลำไส้เล็กส่วนต้นต่อไป หากตับเกิดความผิดปกติในการทำงานก็จะทำให้เกิดภาวะตับวายและเสียชีวิต โรคของตับที่พบมากเป็นอันดับต้นๆ นอกจากตับแข็งแล้วคือ มะเร็งที่ตับ ซึ่งแบ่งได้เป็น

  1. มะเร็งที่เกิดจากเนื้อตับ หรือ Hepatocellular Carcinoma (HCC) – เกิดจากกลายพันธ์ของเซลล์ตับ มีความสัมพันธ์กับโรคตับแข็งจากสาเหตุต่างๆ เช่น การดื่มเหล้านานๆ ไขมันพอกตับจนอักเสบเรื้อรัง และไวรัสตับอักเสบโดยเฉพาะชนิดบี และซี (ซึ่งเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของมะเร็งเนื้อตับ)ในระยะแรกจะไม่มีอาการ จนเมื่อเป็นมากแล้วจึงปวดแน่นท้อง มีน้ำหนักลด เบื่ออาหาร อ่อนเพลียเรื้อรัง เมื่อตรวจเลือดจะพบค่าการทำงานของตับผิดปกติ และอาจพบสารบ่งชี้มะเร็ง AFP สูงขึ้น
  2. มะเร็งที่เกิดจากเยื่อบุทางเดินน้ำดี (Cholangio-Carcinoma) – เกิดจากการระคายเคืองของท่อทางเดินน้ำดีเรื้อรังส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ ทำให้น้ำดีไหลลงสู่ลำไส้ไม่ได้ เกิดการคั่งและไหลย้อนกลับไปยังกระแสเลือดทำให้ตัวเหลืองตาเหลือง หรือ ดีซ่าน ไม่สามารถย่อยอาหารที่มีไขมันได้ เมื่อตรวจเลือดจะพบสารสีเหลือง billrubinสูงขึ้นและอาจพบสารบ่งชี้มะเร็ง CA 19-9 สูงขึ้น
  3. มะเร็งที่เกิดจากอวัยวะอื่นแล้วกระจายมาที่ตับ (Liver Metastasis) – ที่พบบ่อยได้แก่ มะเร็งของทางเดินอาหารเช่น ลำไส้กระเพาะอาหาร และตับอ่อน,มะเร็งปอดและทางเดินหายใจ, มะเร็งเต้านม, มะเร็งระบบสืบพันธุ์สตรี เช่น มะเร็งรังไข่, และมะเร็งของระบบเลือด ซึ่งพบร่วมกับอาการตับม้ามโต มะเร็งเหล่านี้ถือว่าเป็นมะเร็งที่กระจายเป็นระยะ 4 ส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
    อย่างไรก็ตาม เมื่อทำการวินิจฉัยพบมะเร็งที่มีโอกาสกระจายมาที่ตับ ต้องมีการตรวจภาพทางการแพทย์ เช่น อัลตราซาวด์หรือเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์, ตรวจเลือดดูการทำงานของตับและสารบ่งชี้มะเร็ง เช่น AFP, CA 19-9 และ CEA รวมทั้งอาจยืนยันด้วยการตรวจ MRI ของตับ หากการตรวจทั้งหมดที่กล่าวมายังไม่แน่ชัดว่าก้อนที่ตับนั้นเป็นมะเร็ง จึงทำการเจาะชิ้นเนื้อตับต่อไป

แนวทางการรักษา

เมื่อได้ผลการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเนื้อตับ มะเร็งทางเดินน้ำดี หรือมะเร็งอื่นกระจายมาตับแล้วก็จะทำการวางแผนรักษาตามระยะ ซึ่งประกอบด้วยวิธีมาตรฐาน ได้แก่ การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก หรือการผ่าตัดเปลี่ยนตับซึ่งต้องมีผู้บริจาคที่เข้ากัน เหล่านี้ทำให้หายขาดได้ ถ้ารักษาตั้งแต่ระยะแรกหากไม่สามารถผ่าตัดได้หมด จะทำการรักษาเสริมหลายๆวิธีโดยมีเป้าหมายแตกต่างกันไป ดังนี้

  1. การรักษาเพื่อช่วยทำลายก้อนมะเร็งที่ตับ ให้ลดขนาดหรือหยุดการเติบโต
    1. การฉายรังสีที่ตัวก้อน – ซึ่งจะได้ผลกับมะเร็งทางเดินน้ำดีและมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านมที่กระจายไปตับ แต่ไม่ได้ผลกับต่อมะเร็งเนื้อตับ และมีผลต่อเนื้อตับรอบๆ ก้อน
    2. การแทงเข็มจี้ไฟฟ้า – เพื่อส่งคลื่นวิทยุสร้างความร้อนรอบปลายเข็ม เพื่อทำลายก้อนมะเร็ง (Radiofrequency Ablation ;RFA)
    3. การใส่สายสวนไปที่เส้นเลือดแดง – ที่เลี้ยงก้อนมะเร็งแล้วใช้สารเคมีอุดเส้นเลือด ทำให้ก้อนมะเร็งขาดเลือดไปเลี้ยงและหยุดการเติบโต (TransArterial Embolization; TAE)
    4. การใส่ยาเคมีเฉพาะที่ร่วมการอุดเส้นเลือด – เพื่อให้ก้อนมะเร็งถูกยาเคมีทำลายได้เต็มที่ และร่างกายได้รับผลข้างเคียงจากยาเคมีน้อยลง (TransArterialChemo Embolization; TACE)
    5. การแทงเข็มผ่านผนังหน้าท้อง – เข้าไปที่ก้อนมะเร็งเพื่อฉีดสารเคมีเข้มข้นเพื่อให้ก้อนมะเร็งเกิดการเน่าตาย เช่น แอลกฮอล์ความเข้มสูง (Percutaneous Ethanol lnjection ;PEI)
  2. การรักษาเพื่อช่วยยับยั้งการกระจายของมะเร็ง ยืดอายุผู้ป่วยได้แก่ การใช้ยา
    1. ยาเคมีบำบัด – จะได้ผลกับมะเร็งทางเดินน้ำดี และมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ หรือมะเร็งเต้านมกระจายไปตับแต่ได้ผลน้อยมากต่อมะเร็งเนื้อตับ ปัจจุบันมีทั้งชนิดฉีดทางเส้นเลือด และยารับประทาน การรักษาแบบนี้จะทำลายเซลล์ปกติของร่างกายด้วยแต่เซลล์มะเร็งจะถูกทำลายมากกว่าและฟื้นตัวช้ากว่า
    2. ยามุ่งเป้าที่เซลล์มะเร็งโดนตรง หรือ Targeted Therapy – ซึ่งทำลายเซลล์มะเร็งเป็นหลักโดยเซลล์ปกติได้ผลกระทบน้อยมาก แต่ยาเหล่านี้จะจำเพาะและต่อมะเร็งเพียงบางชนิด เช่น ยาSorafenibใช้กับมะเร็งเนื้อตับ(มีราคาแพงและผลข้างเคียงสูง), ยาต้านการสร้างเส้นเลือด(AntiVEGF), ยาต้านการแบ่งเซลล์(Anti EGFR) ซึ่งยาฉีดทั้งสองชนิดนี้ใช้ร่วมกับสารเคมีในมะเร็งลำไส้เป็นต้น