การตรวจตับด้วยไฟโบรสแกน ช่วยในการตรวจวินิจฉัยภาวะพังผืดของตับ (hepatic fibrosis) และตรวจประเมินปริมาณไขมันพอกตับ (liver fat) ทำให้แพทย์สามารถทราบระดับความรุนแรงของโรคและติดตามผลการรักษา
การตรวจด้วยเครื่อง Fibroscan เหมาะกับใครบ้าง
- ผู้ป่วยเบาหวานชนิด 2
- ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มากเป็นประจำหรือเป็นโรคตับจากแอลกอฮอล์
- มีภาวะไขมันพอกตับ
- ผู้ป่วยโรคตับแข็ง
- ผู้ป่วยก่อนและหลังการปลูกถ่ายตับ
- ผู้ที่มีประวัติใช้ยาบางชนิดที่เป็นอันตรายต่อตับ
- เป็นไปตามการพิจารณาของแพทย์
ก่อนตรวจไฟโบรสแกน ต้องเตรียมตัวอย่างไร
ผู้ที่ต้องการตรวจไฟโบรสแกนควรงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนการตรวจ
การตรวจไฟโบรสแกนมีข้อจำกัดอะไรบ้าง
- ไม่สามารถทำการตรวจในผู้ป่วยที่อ้วนมากๆ หรือผู้ที่มีน้ำในช่องท้อง เพราะสัญญาณอาจไปไม่ถึงเนื้อตับ
- ไม่สามารถตรวจหาก้อนเนื้องอกหรือมะเร็งในตับได้
- ไม่ควรใช้กับหญิงที่ตั้งครรภ์
- ไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่ติดเครื่องกระตุ้นหัวใจ
- ไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ
- ไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งระยะลุกลาม
ผลสุขภาพตับที่ทราบจากการตรวจไฟโบรสแกน (Fibroscan)
การตรวจสุขภาพตับด้วยเครื่องไฟโบรสแกนจะแสดงผลค่าการตรวจ 2 ส่วน คือ ค่าปริมาณไขมันในตับและค่าตับแข็ง:
- ค่าตับแข็ง: สามารถตรวจพบค่าตับแข็งหรือตับใกล้แข็งในผู้ที่ไม่มีอาการในคนไข้ที่ยังไม่มีอาการปรากฏชัด เช่น ตาเหลือง ตัวเหลือง ขาบวม หรืออาเจียนเป็นเลือด เพราะการตรวจไฟโบรสแกนจะหาสาเหตุที่แน่ชัดว่าเป็นจากไขมันเกาะตับ ไวรัสตับอักเสบ หรือเพราะดื่มสุรามากเกินไป และดำเนินการวางแผนการรักษาตั้งแต่โรคยังไม่รุนแรง
- ค่าปริมาณไขมันในตับ: ค่าการตรวจจากไฟโบรสแกนจะแจ้งสัญญาณเตือนที่จะบอกว่าคุณกำลังเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่าคนที่ไม่มีไขมันในตับ ยิ่งตรวจพบไขมันเกาะตับเร็วเท่าไหร่ จะทำให้เข้าสู่กระบวนการรักษาต่างๆ เร็วขึ้นซึ่งก็มีหลากหลายวิธีในการรักษาตั้งแต่การลดน้ำหนัก การออกกำลังกาย และในกรณีของผู้ที่มีความเสี่ยงสูง อาจได้รับยาเพื่อช่วยลดไขมันในตับ