ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญมากในร่างกาย ทำหน้าที่หลายอย่าง ได้แก่

  1. กำจัดสารพิษ – ตับช่วยกรองและขจัดสารพิษจากกระแสเลือด รวมถึงยา แอลกอฮอล์ และสารเคมีต่าง ๆ
  2. สร้างน้ำดี (Bile Production) – น้ำดีช่วยย่อยไขมันและดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A, D, E, และ K
  3. สังเคราะห์โปรตีน – ตับสร้างโปรตีนที่จำเป็น เช่น อัลบูมิน (Albumin) ที่ช่วยรักษาความสมดุลของของเหลวในร่างกาย และโปรตีนที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว (Clotting Factors)
  4. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด – ตับเก็บสะสมน้ำตาลในรูปของไกลโคเจน (Glycogen) และปล่อยกลูโคสออกมาเมื่อต้องการพลังงาน
  5. เผาผลาญไขมันและโปรตีน – ตับช่วยสลายไขมันและโปรตีนให้เป็นพลังงาน รวมถึงสร้างคอเลสเตอรอลที่จำเป็น
  6. เก็บสะสมวิตามินและแร่ธาตุ – เช่น ธาตุเหล็ก วิตามิน A, D, B12 และโฟเลต
  7. ผลิตภูมิคุ้มกันบางส่วน – ตับช่วยสร้างสารที่ช่วยต่อต้านเชื้อโรคและทำลายเชื้อแบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกาย

ตับทำงานหนักตลอดเวลา ดังนั้นควรดูแลโดยการหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ อาหารไขมันสูง และทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อช่วยให้ตับแข็งแรง

ถ้าตับเสียหน้าที่หรือทำงานลดลงจะส่งผลต่อร่างกายอย่างไร

ถ้าตับทำงานลดลงหรือเสียหน้าที่ไป จะส่งผลกระทบต่อร่างกายในหลายด้าน เนื่องจากตับมีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญสารอาหาร กำจัดของเสีย และควบคุมสมดุลของร่างกาย ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่

  1. ของเสียและสารพิษสะสมในร่างกาย
    • ตับไม่สามารถกรองสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สารพิษสะสมในเลือด อาจทำให้เกิดภาวะ ตับวาย และ สมองเสื่อมจากตับ (Hepatic Encephalopathy) ซึ่งอาจมีอาการสับสน หลงลืม หรือหมดสติ
  2. บวมและท้องมาน (Ascites)
    • เมื่อตับเสียหน้าที่ การสร้างโปรตีนอัลบูมินลดลง ทำให้ความดันในหลอดเลือดผิดปกติ ส่งผลให้เกิดอาการบวมที่ขาและมีน้ำสะสมในช่องท้อง
  3. ดีซ่าน (Jaundice)
    • เมื่อตับไม่สามารถกำจัดสารบิลิรูบิน (Bilirubin) ซึ่งเป็นของเสียจากเม็ดเลือดแดงได้ สารนี้จะสะสมในร่างกาย ทำให้ผิวหนังและตาเหลือง
  4. เลือดออกง่ายและฟกช้ำง่าย
    • ตับมีบทบาทในการสร้างโปรตีนที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว ถ้าตับเสียหน้าที่ อาจทำให้เลือดออกง่าย เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกในทางเดินอาหาร หรือฟกช้ำง่าย
  5. น้ำตาลในเลือดผิดปกติ
    • ตับช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าตับทำงานผิดปกติ อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงเกินไป ส่งผลต่อพลังงานและสมดุลของร่างกาย
  6. อ่อนเพลียและเบื่ออาหาร
    • การทำงานที่ลดลงของตับส่งผลต่อการเผาผลาญพลังงาน ทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย ไม่มีแรง และอาจสูญเสียความอยากอาหาร น้ำหนักลด
  7. คันตามตัว
    • เมื่อตับไม่สามารถกำจัดสารพิษและของเสียออกจากร่างกายได้ อาจทำให้เกิดอาการคันเนื่องจากมีสารน้ำดีสะสมในเลือด
  8. ฮอร์โมนแปรปรวน
    • ในผู้ชายอาจเกิดภาวะเต้านมโตและเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เนื่องจากตับไม่สามารถเผาผลาญฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ดี ในผู้หญิงอาจมีรอบเดือนผิดปกติ

สาเหตุที่ทำให้ตับเสียหน้าที่

  • ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • ไวรัสตับอักเสบ B และ C
  • ไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease)
  • การใช้ยาบางชนิดในปริมาณมาก
  • โรคตับแข็ง (Cirrhosis)

วิธีดูแลตับให้แข็งแรง

  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่
  • กินอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารมันและหวาน
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยขับของเสีย
  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ A และ B
  • ตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ โดยเฉพาะถ้ามีปัจจัยเสี่ยง

มีวิธีการตรวจอะไรบ้างที่สามารถทราบถึงความผิดปกติตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

การตรวจหาความผิดปกติของตับตั้งแต่ระยะเริ่มต้นสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งช่วยให้แพทย์ประเมินสุขภาพของตับและวินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้น วิธีการตรวจที่สำคัญ ได้แก่

  1. การตรวจเลือดเพื่อประเมินการทำงานของตับ (Liver Function Tests – LFTs)
    เป็นการตรวจค่าทางชีวเคมีที่ช่วยบ่งบอกถึงสุขภาพของตับ ได้แก่

    • AST (Aspartate Aminotransferase) และ ALT (Alanine Aminotransferase) → เอนไซม์ที่พบในตับ ถ้าค่าสูง อาจบ่งบอกถึงการอักเสบของตับ
    • ALP (Alkaline Phosphatase) และ GGT (Gamma-glutamyl Transferase) → เอนไซม์ที่บ่งบอกถึงภาวะอุดตันของท่อน้ำดี
    • Bilirubin → ถ้าค่าสูง อาจเกิดจากตับทำงานผิดปกติหรือมีการอุดตันของท่อน้ำดี
    • Albumin และ Total Protein → โปรตีนที่สร้างจากตับ ถ้าค่าต่ำ อาจแสดงว่าตับเริ่มเสื่อมสภาพ
    • Prothrombin Time (PT/INR) → ตรวจการแข็งตัวของเลือด ถ้าตับทำงานผิดปกติ อาจทำให้เลือดแข็งตัวช้า
  2. การตรวจอัลตราซาวด์ตับ (Liver Ultrasound)
    • ใช้คลื่นเสียงเพื่อตรวจหาความผิดปกติ เช่น ไขมันพอกตับ ซีสต์ ก้อนเนื้องอก หรือตับแข็ง
    • เหมาะสำหรับตรวจคัดกรองภาวะไขมันพอกตับ (NAFLD) หรือโรคตับเรื้อรัง
  3. การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) และ MRI ตับ
    • ใช้ตรวจหาความผิดปกติที่ละเอียดขึ้น เช่น มะเร็งตับ หรือตรวจดูเส้นเลือดในตับ
    • MRCP (Magnetic Resonance Cholangiopancreatography) – ตรวจระบบท่อน้ำดีเพื่อหาการอุดตัน
  4. การตรวจวัดค่าความยืดหยุ่นของตับ (FibroScan หรือ Elastography)
    • ใช้ตรวจหา ภาวะพังผืดในตับ (Fibrosis) หรือ ตับแข็ง (Cirrhosis) โดยไม่ต้องเจาะชิ้นเนื้อ
    • เป็นการตรวจที่รวดเร็ว ไม่เจ็บ และแม่นยำ
  5. การตรวจชิ้นเนื้อตับ (Liver Biopsy)
    • แพทย์ใช้เข็มเจาะเก็บตัวอย่างเนื้อตับไปตรวจหาการอักเสบ ไขมันพอก หรือมะเร็งตับ
    • เป็นวิธีที่ให้ผลแม่นยำที่สุด แต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นเล็กน้อย
  6. การตรวจไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis B & C Screening)
    • แนะนำให้ตรวจโดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีประวัติเคยได้รับเลือด ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง หรือมีคนในครอบครัวเป็นไวรัสตับอักเสบ
  7. การตรวจสารบ่งชี้มะเร็งตับ (AFP – Alpha-fetoprotein)
    • ใช้ตรวจหาความเสี่ยงของ มะเร็งตับ โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคตับแข็งหรือไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง

ใครบ้างที่ควรตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ?

  • ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
  • ผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับ
  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคตับ
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคอ้วน
  • ผู้ที่ใช้ยาบางชนิดต่อเนื่องเป็นเวลานาน

คำแนะนำ: หากไม่มีอาการผิดปกติ ควรตรวจสุขภาพตับอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แต่ถ้ามีปัจจัยเสี่ยงควรตรวจบ่อยขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์

โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต มีแพทย์เฉพาะทางอายุรกรรมโรคทางเดิมอาหารและตับ ที่พร้อมจะให้คำปรึกษา ดูแล และตรวจวินิจฉัยความผิดปกติ ของตับตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จนกระทั่งระยะวิกฤติ

ออกตรวจทุกวันจันทร์-อาทิตย์

นัดหลายเพื่อพบแพทย์ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่แผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต

เบอร์โทรศัพท์ 02-115-2111 ต่อ 1200 เวลา 07.00-20.00 น.