ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญมากในร่างกาย ทำหน้าที่หลายอย่าง ได้แก่
- กำจัดสารพิษ – ตับช่วยกรองและขจัดสารพิษจากกระแสเลือด รวมถึงยา แอลกอฮอล์ และสารเคมีต่าง ๆ
- สร้างน้ำดี (Bile Production) – น้ำดีช่วยย่อยไขมันและดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A, D, E, และ K
- สังเคราะห์โปรตีน – ตับสร้างโปรตีนที่จำเป็น เช่น อัลบูมิน (Albumin) ที่ช่วยรักษาความสมดุลของของเหลวในร่างกาย และโปรตีนที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว (Clotting Factors)
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด – ตับเก็บสะสมน้ำตาลในรูปของไกลโคเจน (Glycogen) และปล่อยกลูโคสออกมาเมื่อต้องการพลังงาน
- เผาผลาญไขมันและโปรตีน – ตับช่วยสลายไขมันและโปรตีนให้เป็นพลังงาน รวมถึงสร้างคอเลสเตอรอลที่จำเป็น
- เก็บสะสมวิตามินและแร่ธาตุ – เช่น ธาตุเหล็ก วิตามิน A, D, B12 และโฟเลต
- ผลิตภูมิคุ้มกันบางส่วน – ตับช่วยสร้างสารที่ช่วยต่อต้านเชื้อโรคและทำลายเชื้อแบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกาย
ตับทำงานหนักตลอดเวลา ดังนั้นควรดูแลโดยการหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ อาหารไขมันสูง และทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อช่วยให้ตับแข็งแรง
ถ้าตับเสียหน้าที่หรือทำงานลดลงจะส่งผลต่อร่างกายอย่างไร
ถ้าตับทำงานลดลงหรือเสียหน้าที่ไป จะส่งผลกระทบต่อร่างกายในหลายด้าน เนื่องจากตับมีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญสารอาหาร กำจัดของเสีย และควบคุมสมดุลของร่างกาย ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
- ของเสียและสารพิษสะสมในร่างกาย
- ตับไม่สามารถกรองสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สารพิษสะสมในเลือด อาจทำให้เกิดภาวะ ตับวาย และ สมองเสื่อมจากตับ (Hepatic Encephalopathy) ซึ่งอาจมีอาการสับสน หลงลืม หรือหมดสติ
- บวมและท้องมาน (Ascites)
- เมื่อตับเสียหน้าที่ การสร้างโปรตีนอัลบูมินลดลง ทำให้ความดันในหลอดเลือดผิดปกติ ส่งผลให้เกิดอาการบวมที่ขาและมีน้ำสะสมในช่องท้อง
- ดีซ่าน (Jaundice)
- เมื่อตับไม่สามารถกำจัดสารบิลิรูบิน (Bilirubin) ซึ่งเป็นของเสียจากเม็ดเลือดแดงได้ สารนี้จะสะสมในร่างกาย ทำให้ผิวหนังและตาเหลือง
- เลือดออกง่ายและฟกช้ำง่าย
- ตับมีบทบาทในการสร้างโปรตีนที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว ถ้าตับเสียหน้าที่ อาจทำให้เลือดออกง่าย เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกในทางเดินอาหาร หรือฟกช้ำง่าย
- น้ำตาลในเลือดผิดปกติ
- ตับช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าตับทำงานผิดปกติ อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงเกินไป ส่งผลต่อพลังงานและสมดุลของร่างกาย
- อ่อนเพลียและเบื่ออาหาร
- การทำงานที่ลดลงของตับส่งผลต่อการเผาผลาญพลังงาน ทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย ไม่มีแรง และอาจสูญเสียความอยากอาหาร น้ำหนักลด
- คันตามตัว
- เมื่อตับไม่สามารถกำจัดสารพิษและของเสียออกจากร่างกายได้ อาจทำให้เกิดอาการคันเนื่องจากมีสารน้ำดีสะสมในเลือด
- ฮอร์โมนแปรปรวน
- ในผู้ชายอาจเกิดภาวะเต้านมโตและเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เนื่องจากตับไม่สามารถเผาผลาญฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ดี ในผู้หญิงอาจมีรอบเดือนผิดปกติ
สาเหตุที่ทำให้ตับเสียหน้าที่
- ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- ไวรัสตับอักเสบ B และ C
- ไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease)
- การใช้ยาบางชนิดในปริมาณมาก
- โรคตับแข็ง (Cirrhosis)
วิธีดูแลตับให้แข็งแรง
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่
- กินอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารมันและหวาน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยขับของเสีย
- ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ A และ B
- ตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ โดยเฉพาะถ้ามีปัจจัยเสี่ยง
มีวิธีการตรวจอะไรบ้างที่สามารถทราบถึงความผิดปกติตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
การตรวจหาความผิดปกติของตับตั้งแต่ระยะเริ่มต้นสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งช่วยให้แพทย์ประเมินสุขภาพของตับและวินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้น วิธีการตรวจที่สำคัญ ได้แก่
- การตรวจเลือดเพื่อประเมินการทำงานของตับ (Liver Function Tests – LFTs)
เป็นการตรวจค่าทางชีวเคมีที่ช่วยบ่งบอกถึงสุขภาพของตับ ได้แก่- AST (Aspartate Aminotransferase) และ ALT (Alanine Aminotransferase) → เอนไซม์ที่พบในตับ ถ้าค่าสูง อาจบ่งบอกถึงการอักเสบของตับ
- ALP (Alkaline Phosphatase) และ GGT (Gamma-glutamyl Transferase) → เอนไซม์ที่บ่งบอกถึงภาวะอุดตันของท่อน้ำดี
- Bilirubin → ถ้าค่าสูง อาจเกิดจากตับทำงานผิดปกติหรือมีการอุดตันของท่อน้ำดี
- Albumin และ Total Protein → โปรตีนที่สร้างจากตับ ถ้าค่าต่ำ อาจแสดงว่าตับเริ่มเสื่อมสภาพ
- Prothrombin Time (PT/INR) → ตรวจการแข็งตัวของเลือด ถ้าตับทำงานผิดปกติ อาจทำให้เลือดแข็งตัวช้า
- การตรวจอัลตราซาวด์ตับ (Liver Ultrasound)
- ใช้คลื่นเสียงเพื่อตรวจหาความผิดปกติ เช่น ไขมันพอกตับ ซีสต์ ก้อนเนื้องอก หรือตับแข็ง
- เหมาะสำหรับตรวจคัดกรองภาวะไขมันพอกตับ (NAFLD) หรือโรคตับเรื้อรัง
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) และ MRI ตับ
- ใช้ตรวจหาความผิดปกติที่ละเอียดขึ้น เช่น มะเร็งตับ หรือตรวจดูเส้นเลือดในตับ
- MRCP (Magnetic Resonance Cholangiopancreatography) – ตรวจระบบท่อน้ำดีเพื่อหาการอุดตัน
- การตรวจวัดค่าความยืดหยุ่นของตับ (FibroScan หรือ Elastography)
- ใช้ตรวจหา ภาวะพังผืดในตับ (Fibrosis) หรือ ตับแข็ง (Cirrhosis) โดยไม่ต้องเจาะชิ้นเนื้อ
- เป็นการตรวจที่รวดเร็ว ไม่เจ็บ และแม่นยำ
- การตรวจชิ้นเนื้อตับ (Liver Biopsy)
- แพทย์ใช้เข็มเจาะเก็บตัวอย่างเนื้อตับไปตรวจหาการอักเสบ ไขมันพอก หรือมะเร็งตับ
- เป็นวิธีที่ให้ผลแม่นยำที่สุด แต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นเล็กน้อย
- การตรวจไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis B & C Screening)
- แนะนำให้ตรวจโดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีประวัติเคยได้รับเลือด ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง หรือมีคนในครอบครัวเป็นไวรัสตับอักเสบ
- การตรวจสารบ่งชี้มะเร็งตับ (AFP – Alpha-fetoprotein)
- ใช้ตรวจหาความเสี่ยงของ มะเร็งตับ โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคตับแข็งหรือไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง
ใครบ้างที่ควรตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ?
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- ผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับ
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคตับ
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคอ้วน
- ผู้ที่ใช้ยาบางชนิดต่อเนื่องเป็นเวลานาน
คำแนะนำ: หากไม่มีอาการผิดปกติ ควรตรวจสุขภาพตับอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แต่ถ้ามีปัจจัยเสี่ยงควรตรวจบ่อยขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์
โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต มีแพทย์เฉพาะทางอายุรกรรมโรคทางเดิมอาหารและตับ ที่พร้อมจะให้คำปรึกษา ดูแล และตรวจวินิจฉัยความผิดปกติ ของตับตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จนกระทั่งระยะวิกฤติ
ออกตรวจทุกวันจันทร์-อาทิตย์
นัดหลายเพื่อพบแพทย์ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่แผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต
เบอร์โทรศัพท์ 02-115-2111 ต่อ 1200 เวลา 07.00-20.00 น.