ตับเป็นอวัยวะในร่างกาย ทำหน้าที่กรอง และกำจัดสารพิษ เชื้อโรคต่างๆที่เข้าสู่ร่างกาย นอกจากนั้นยังสร้างน้ำดี และมีส่วนสำคัญให้ร่างกายดำรงอยู่ได้ แม้ว่าตับจะมีความทนทาน และยืดหยุ่นสูง แต่ถ้ามีสาเหตุที่ทำลายตับทีละน้อย เวลาผ่านไปนานวัน ตับมักสร้างพังผืดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดภาวะตับแข็ง ในช่วงแรกแม้ว่าไม่เกิดอาการ แต่ถ้าความรุนแรงของตับแข็งเพิ่มขึ้นถึงจุดหนึ่ง ก็จะมีผลแทรกซ้อน และมีภาวะตับทรุดตามมา จนเสียชีวิตได้

สาเหตุที่พบบ่อยสุดของตับแข็งในเมืองไทย และสหรัฐอเมริกา เกิดจาก การดื่มแอลกอฮอล์ (Alcoholic cirrhosis)

ไม่ดื่มเหล้าสามารถเป็นโรคนี้ได้ไหม – ตอบ ได้

สาเหตุอื่นที่พบบ่อยที่สุดของตับแข็งนอกจากแอลกอฮอล์ (Non alcoholic cirrhosis) ทั่วโลก คือ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B

แต่ในสหรัฐอเมริกา คือ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ C (เนื่องจากมีการฉีดวัคซีนตับอักเสบ B ทุกรายในเด็กแรกเกิด ทำให้ความชุกของไวรัสตับอักเสบ B ไม่มากเหมือนในประเทศอื่น) แต่ไม่ใช่ทุกรายที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ C จะกลายเป็นตับแข็ง ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานพอ และ 20% เท่านั้นที่จะกลายเป็นตับแข็งในอนาคต

ไขมันแทรกตับ (Nonalcoholic steatohepatitis – NASH) เป็นสาเหตุที่พบมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดจากในเซลล์ตับมีไขมันไปแทรก ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และทำลายตับอย่างช้าๆจนเกิดภาวะตับแข็ง ปัจจัยเสี่ยงอย่าง โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ความอ้วน การใช้ยาบางอย่าง เช่น steroid มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโรคนี้

สำหรับบางคนที่มีความผิดปกติทางภูมิคุ้มกันตัวเอง ซึ่งไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันไปทำลายเซลล์ตับ ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังตามมา จนเกิดตับแข็ง ซึ่งพบในโรค Autoimmune hepatitis

สำหรับสาเหตุอื่นๆที่พบน้อย ได้แก่ การใช้ยาบางอย่าง เช่น methotrexate หรือ Vitamin A, มีภาวะหัวใจวายเรื้อรัง, Hemochromatosis มีภาวะเหล็กเกินในร่างกาย, Wilson’s disease ภาวะธาตุทองแดงเกินในร่างกาย, cystic fibrosis, alpha-1-antitrypsin deficiency

มีประมาณ 10% ของโรคตับแข็ง ไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน ที่เรียกว่า Cryptogenic cirrhosis ซึ่งช่วงหลังพบว่าน่าจะเกิดจากภาวะไขมันแทรกตับ (NASH)

มีอาการอย่างไร

ในระยะแรกอาจไม่มีอาการ ต่อมาเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่อยากอาหาร น้ำหนักลด ประจำเดือนขาดในเพศหญิง ความรู้สึกทางเพศลดลงในเพศชาย ร่วมกับ เต้านมคัดตึงซึ่งเป็นผลจาก Estrogen มากขึ้นในร่างกาย

เมื่อตับแข็งเป็นมากขึ้น อาจมีตัวเหลือง ตาเหลือง ผิวแห้ง คัน จากสารเหลืองไปสะสมตามผิวหนัง ตัวบวม ขาบวม ท้องโตจากน้ำในช่องท้อง (Ascites) เลือดไม่แข็งตัว และมีเลือดออกตามตำแหน่งต่างๆ

เนื่องจากยาหลายตัว ถูกทำลายที่ตับ การใช้ยาต่างๆเหล่านี้ในคนไข้ตับแข็ง ทำให้เกิดผลข้างเคียงง่ายขึ้น

ตับแข็งวินิจฉัยอย่างไร

สามารถวินิจฉัยได้จากประวัติ อาการ ร่วมกับตรวจร่างกาย แพทย์อาจส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น เจาะเลือดดูการทำงานของตับ อัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนบน หรือ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อหาหลักฐานของการเกิดตับแข็ง

รักษาอย่างไร

ดีที่สุด คือ หาสาเหตุที่ทำให้เกิดตับแข็ง แล้วรักษาที่ต้นเหตุ เช่น จากเหล้า ต้องหยุดดื่มเหล้า จากไวรัสตับอักเสบ B หรือ C รักษาโดยการกินยาต้านไวรัส ทำให้ตับชะลอการถูกทำลายลงได้

ตับอักเสบจากภูมิคุ้มกัน (Autoimmune hepatitis) รักษาโดยกินยากดภูมิคุ้มกัน

หยุดยาทุกอย่างที่ไม่จำเป็น รวมถึงยาสมุนไพร ซึ่งอาจเป็นสาเหตุในการทำลายตับ

ถ้าตับทรุดลงมาก อาจรักษาโดยการปลูกถ่ายตับ ซึ่งอัตราการมีชีวิตรอดที่ 5 ปี อยู่ที่ 75%

สรุป

ตับเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญของร่างกาย ตับแข็งเกิดจากสาเหตุต่างๆ ที่เราป้องกันได้และป้องกันไม่ได้ ถ้าเราค้นหาสาเหตุและทราบโดยเร็ว พยายามกำจัดสาเหตุที่แก้ไขได้ ก็จะชะลอไม่ให้ตับถูกทำลาย จนเกิดกลายเป็นตับแข็งในที่สุด

นพ. ธนชัย ปัญจชัยพรพล
อายุรแพทย์ทางเดินอาหารและตับ
โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต