1. อาการปวดท้องจากมะเร็งลำไส้เกิดจากอะไร?

มะเร็งลำไส้เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์ในลำไส้ใหญ่หรือทวารหนัก ซึ่งนำไปสู่การก่อตัวของก้อนเนื้อหรือเนื้องอก เมื่อก้อนเนื้อขยายใหญ่ขึ้น มันจะส่งผลต่อการทำงานของลำไส้ เกิดการอุดตันหรือกดทับเนื้อเยื่อโดยรอบ ส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องขึ้นได้

2. อาการปวดท้องจากมะเร็งลำไส้สามารถเกิดได้ตั้งแต่ระยะไหน?

  • ระยะเริ่มต้น: มะเร็งลำไส้ในระยะแรกมักไม่แสดงอาการเด่นชัด อาจมีอาการปวดท้องเพียงเล็กน้อยหรือรู้สึกไม่สบายท้อง
  • ระยะลุกลาม: เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นจนส่งผลต่อระบบขับถ่ายหรือเกิดการอุดตันของลำไส้ อาการปวดท้องจะชัดเจนขึ้นและมีความถี่มากขึ้น
  • ระยะรุนแรง: ในระยะที่โรคแพร่กระจาย อาจเกิดอาการปวดท้องรุนแรงจากการที่มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง เช่น ตับ หรือเยื่อบุช่องท้อง

3. ลักษณะอาการปวดท้องแบบไหนที่เข้าข่ายมะเร็งลำไส้?

อาการปวดท้องจากมะเร็งลำไส้มีลักษณะเฉพาะที่ควรสังเกต ได้แก่

  • ปวดท้องแบบเรื้อรัง ปวดเป็นๆ หายๆ แต่ไม่หายขาด
  • ปวดท้องบริเวณล่างซ้ายหรือกลางท้อง
  • ปวดท้องร่วมกับการเปลี่ยนแปลงระบบขับถ่าย เช่น ท้องผูกสลับท้องเสีย
  • ปวดท้องและรู้สึกท้องอืด แน่นท้อง โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร

4. อาการร่วมอื่นๆ ที่ต้องเฝ้าระวัง

นอกจากอาการปวดท้องแล้ว มะเร็งลำไส้มักมาพร้อมกับอาการอื่นๆ ที่เป็นสัญญาณเตือน ได้แก่

  • มีเลือดปนในอุจจาระ
  • อุจจาระมีขนาดเล็กลงหรือแคบกว่าปกติ
  • น้ำหนักลดลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
  • รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง
  • ท้องผูกเรื้อรังหรือถ่ายไม่สุด

หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกับอาการปวดท้อง ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยทันที

5. โรคอื่นที่มีอาการใกล้เคียงกับมะเร็งลำไส้

อาการปวดท้องและผิดปกติในการขับถ่ายอาจเกิดจากโรคอื่นที่ไม่ใช่มะเร็งลำไส้ เช่น

  • โรคลำไส้แปรปรวน (IBS): ปวดท้องเป็นๆ หายๆ มีปัญหาท้องผูกสลับท้องเสีย
  • ลำไส้อักเสบ (Colitis): ปวดท้องร่วมกับถ่ายเป็นเลือดหรือมีมูก
  • ติ่งเนื้อลำไส้: อาจทำให้มีเลือดออกทางทวารหนักและปวดท้อง
  • ลำไส้อุดตัน: มีอาการปวดบีบแน่นท้อง คลื่นไส้ และท้องอืด

หากไม่แน่ใจว่าอาการปวดท้องที่เป็นอยู่นั้นเกิดจากอะไร การตรวจอย่างละเอียดจะช่วยแยกแยะโรคได้ชัดเจน

อาการปวดท้องที่เสี่ยงมะเร็งลำไส้มีลักษณะ เรื้อรัง ปวดเป็นๆ หายๆ ร่วมกับอาการผิดปกติของระบบขับถ่าย เช่น มีเลือดปนในอุจจาระ น้ำหนักลด และอ่อนเพลีย หากพบความผิดปกติดังกล่าว ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจคัดกรองและรักษาแต่เนิ่นๆ เพราะการพบมะเร็งในระยะแรกสามารถเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้สูงขึ้น