อาการท้องร่วง สาเหตุส่วนใหญ่ของอาการท้องร่วงเป็นเพราะการติดเชื้อ ซึ่งอาจมาจากอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อโรค หรือจากการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ
นอกจากนี้ยังมี สาเหตุอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการท้องร่วง เช่น
- ระบบทางเดินอาหารถูกกระตุ้นแบบเฉียบพลัน เช่น การกินอาหารมันหรือเครื่องดื่มที่เย็นจัด การกินอาหารที่ไม่สะอาดหรือเป็นเชื้อโรค
- การแพ้สารอาหาร บางคนอาจมีอาการท้องเสียเนื่องจากการแพ้สารอาหาร เช่น นม แป้ง ถั่ว หรือปลา
- การใช้ยา บางยาอาจมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย เช่น ยาประสาท ยาแก้ปวด ยาประจำเดือน และยาแก้ปวดท้อง
- ภาวะอื่นๆ ภาวะเครียด ภาวะแพ้แสง หรือภาวะที่เกี่ยวกับการทำงานของระบบทางเดินอาหาร เช่น กล้ามเนื้อลำไส้ไม่ทำงานได้ดี
การวินิจฉัยท้องร่วง จะเริ่มต้นด้วยการสังเกตอาการของผู้ป่วยว่ามีอาการดังต่อไปนี้หรือไม่
- อาการท้องร่วง มีอาการถ่ายเป็นน้ำหรือเหลืองเหนียวและถ่ายบ่อยกว่าปกติ
- อาการแสดงผิวหนังและเยื่อบุตา ผิวหนังและเยื่อบุตาแห้งและเหลือง เนื่องจากการขาดน้ำและเกลือแร่
- อาการคลื่นไส้และอาเจียน มีอาการคลื่นไส้และอาเจียนบ่อยๆ เนื่องจากการติดเชื้อทางเดินอาหาร
- อาการปวดท้อง มีอาการปวดท้องแบบกลัว ๆ ร่วมกับการถ่ายเป็นน้ำ
หลังจากนั้น แพทย์จะใช้วิธีการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคท้องเสีย ได้แก่
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยการเก็บตัวอย่างอุจจาระ เพื่อวิเคราะห์ว่ามีเชื้อโรคหรือไม่
- การตรวจอุจจาระ เพื่อตรวจสอบว่ามีเลือดในอุจจาระหรือไม่ เนื่องจากบางครั้งเชื้อโรคสามารถทำให้เกิดแผลบวมในลำไส้และท่อน้ำดี
- การตรวจร่างกาย เพื่อตรวจสอบว่ามีอาการแสดงของโรคอื่นๆ เช่น เครียด ภาวะแพ้ หรือภาวะเจ็บป่วยอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการทำงานของระบบทางเดินอาหาร
การดูแลเมื่อมีอาการท้องร่วง
จะเน้นไปที่การเติมน้ำและเกลือแร่ที่ขาดไปในร่างกาย เพื่อช่วยให้ร่างกายกลับมาสมดุลได้เร็วขึ้น ดังนั้น การดูแลเมื่อมีอาการท้องร่วง สามารถทำได้ดังนี้
- เติมน้ำ ผู้ป่วยท้องเสียจะต้องดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเพื่อเติมน้ำที่ขาดไปในร่างกาย
- เติมเกลือแร่ เกลือแร่จะช่วยเพิ่มปริมาณเกลือแร่ที่ขาดไปในร่างกาย เพื่อช่วยทำให้ร่างกายกลับมาสมดุลได้ เช่นการดื่มน้ำเปล่าที่มีการเติมเกลือแร่เพิ่มเข้าไปหรือใช้ผงเกลือหรือเหล็กดื่มผสม
- รับประทานอาหาร หากผู้ป่วยยังมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนอยู่ ควรละเว้นอาหารหนักและอาหารที่มีความมันสูง แต่ถ้าผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้ ควรเลือกอาหารที่มีปริมาณไขมันต่ำและมีความสดชื่น เช่น ผักสด ผลไม้สด ข้าวสวย และเนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมันสูง
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ดีต่อกระเพาะอาหาร หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร เช่น อาหารรสจัด เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด
อาการท้องเสียที่ควรรีบมาพบแพทย์
อาการท้องเสียอาจไม่ใช่อาการที่ร้ายแรงมากนัก แต่ในบางกรณีอาจเกิดภาวะที่อันตรายได้ เช่น อาการขาดน้ำและเกลือแร่ที่รุนแรง ดังนั้น ควรรีบมาพบแพทย์หากมีอาการดังต่อไปนี้
- อาการท้องเสียรุนแรง เช่น อาการท้องเสียรุนแรงที่มีการอุดตันในลำไส้ มีอาการแน่นท้องรุนแรง เป็นเลือดออกปริมาณมาก หรือมีไข้สูง
- อาการขาดน้ำและเกลือแร่รุนแรง เช่น มีอาการกระสับกระส่าย ช็อก หรือซึมเศร้า หรือผู้ป่วยไม่สามารถดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารได้เลย
- อาการท้องเสียเป็นเวลานาน เช่น อาการท้องเสียไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ยาและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน หรือมีอาการท้องเสียเป็นเวลากว่า 3-4 วัน
- อาการท้องเสียในผู้ป่วยที่มีภาวะที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เชื้อ HIV หรือผู้ที่ต้องรับยาออกซิเจนตลอดเวลา
หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดภาวะที่อันตราย