ฝุ่นจากการถล่มของอาคาร หรือที่เรียกกันว่า “ฝุ่นตึกถล่ม” ไม่ใช่แค่ฝุ่นธรรมดา เพราะมักปะปนไปด้วยสารอันตรายหลายชนิด เช่น
- ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และ PM10 ที่สามารถเข้าสู่ทางเดินหายใจลึกถึงปอดและกระแสเลือด
- ใยหิน (Asbestos) ที่พบในฉนวนหรือวัสดุก่อสร้างเก่า ซึ่งเมื่อสูดดมเป็นเวลานานอาจก่อมะเร็ง
- โลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม ที่หลุดออกจากท่อน้ำเก่า สี และโครงสร้างต่าง ๆ
- สารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOC) จากวัสดุก่อสร้าง สี ทินเนอร์ ที่ก่อให้เกิดระคายเคืองและมีผลต่อระบบประสาท
- ซากวัสดุชีวภาพ เช่น เศษไม้ เศษพลาสติก ซากสัตว์ หรือของเน่าเสียที่ก่อให้เกิดเชื้อรา แบคทีเรีย หรือเชื้อโรคต่าง ๆ
การดูแลตนเองของผู้ที่อยู่ในรัศมีใกล้เคียง
- สวมหน้ากากป้องกันฝุ่นระดับ N95 หรือสูงกว่า ทุกครั้งที่ต้องออกนอกอาคาร
- ปิดประตู-หน้าต่าง และปิดเครื่องปรับอากาศในช่วงที่ฝุ่นฟุ้งกระจาย
- ใช้เครื่องฟอกอากาศภายในบ้าน โดยเฉพาะแบบที่มีแผ่นกรอง HEPA
- ล้างหน้า ล้างจมูก และอาบน้ำทันทีหลังกลับเข้าบ้าน เพื่อกำจัดฝุ่นออกจากร่างกาย
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ที่มีโรคประจำตัวทางเดินหายใจ
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจติดขัด เจ็บหน้าอก แสบตา หรือเวียนศีรษะ ควรรีบพบแพทย์ทันที
- ติดตามข่าวสารจากทางการอย่างใกล้ชิด เพื่อทราบสถานการณ์และคำแนะนำเพิ่มเติม
คำแนะนำการตรวจสุขภาพระยะสั้นและระยะยาว
1. ระยะสั้น (Short-Term Health Monitoring)
เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ใกล้บริเวณตึกถล่ม หรือได้รับผลกระทบจากฝุ่นก่อสร้าง
- ภายใน 1–7 วัน
- สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอ หอบ เหนื่อย เจ็บหน้าอก ระคายเคืองตา ผื่นคัน
- หากมีอาการ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจปอด X-ray และตรวจความอิ่มตัวของออกซิเจน
- ตรวจ CBC (Complete Blood Count) หากมีไข้หรืออาการอักเสบ
- ภายใน 1 เดือน
- ตรวจสมรรถภาพปอด (Spirometry) สำหรับผู้ที่มีอาการหอบเหนื่อยเรื้อรัง
- ตรวจสุขภาพทั่วไป โดยเน้นการฟังเสียงปอดและการประเมินระบบทางเดินหายใจ
2. ระยะยาว (Long-Term Health Surveillance)
เหมาะสำหรับผู้ที่สัมผัสฝุ่นต่อเนื่อง หรืออยู่ในพื้นที่เสี่ยง เช่น ช่างก่อสร้าง ผู้อยู่อาศัยใกล้ไซต์งาน
- ทุก 6 เดือน – 1 ปี
- ตรวจสมรรถภาพปอด (Pulmonary Function Test)
- ตรวจ X-ray ปอด เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดจากใยหินหรือฝุ่นสะสม
- ตรวจตับ ไต และโลหะหนักในเลือด หากสงสัยได้รับสารพิษจากสิ่งแวดล้อม
- ตรวจสุขภาพประจำปีแบบองค์รวม (เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ วัดความดัน ตรวจคลื่นหัวใจ)
- สำหรับกลุ่มเสี่ยงสูง (เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเดิม)
- ควรปรึกษาแพทย์เรื่องแนวทางติดตามสุขภาพเฉพาะบุคคล