พังผืดในตับ (Liver Fibrosis) คือภาวะที่เนื้อเยื่อตับเกิดแผลเป็นจากการอักเสบเรื้อรัง ส่งผลให้ตับสูญเสียความสามารถในการทำงาน ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะรุนแรงขึ้น เช่น ตับแข็ง (Cirrhosis) และภาวะตับวายได้

ผลเสียของพังผืดในตับ

  1. ตับทำงานผิดปกติ ตับมีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญสารอาหาร กำจัดสารพิษ และสร้างโปรตีนสำคัญ เมื่อเกิดพังผืดมากขึ้น ประสิทธิภาพของตับจะลดลง
  2. เสี่ยงต่อภาวะตับแข็ง หากปล่อยให้พังผืดลุกลามโดยไม่รักษา ตับอาจแข็งตัว ทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
  3. ความดันโลหิตสูงในระบบหลอดเลือดพอร์ทัล (Portal Hypertension) การไหลเวียนของเลือดในตับถูกขัดขวาง ทำให้เส้นเลือดในทางเดินอาหารโป่งพอง เสี่ยงต่อการแตกและเลือดออก
  4. การทำงานของภูมิคุ้มกันลดลง ตับเป็นอวัยวะที่ช่วยกำจัดเชื้อโรคบางชนิด หากตับมีพังผืดมากขึ้น ความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อจะลดลง
  5. เสี่ยงต่อภาวะตับวาย เมื่อพังผืดทำลายเนื้อตับจนไม่สามารถทำงานได้ อาจนำไปสู่ภาวะตับวาย ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
  6. เสี่ยงต่อมะเร็งตับ ตับที่มีพังผืดเรื้อรังมีโอกาสเกิดเซลล์ผิดปกติและพัฒนาไปเป็นมะเร็งตับได้สูงขึ้น

ปัจจัยที่ทำให้เกิดพังผืดในตับ

  • การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • โรคตับอักเสบเรื้อรัง เช่น ไวรัสตับอักเสบ B และ C
  • โรคไขมันพอกตับ (NAFLD)
  • โรคออโตอิมมูนที่ทำให้ตับอักเสบ
  • การได้รับสารพิษหรือยาบางชนิดเป็นเวลานาน

การตรวจวินิจฉัยพังผืดในตับ (Liver Fibrosis) มีหลายวิธี โดยแบ่งเป็น การตรวจทางห้องปฏิบัติการ(ทางเลือด) การตรวจทางรังสีวินิจฉัย และการตรวจชิ้นเนื้อตับ ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดต่างกัน

1. การตรวจเลือด (Blood Tests)

ใช้ประเมินค่าทางชีวเคมีที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของตับและภาวะพังผืด เช่น

  • Liver Function Tests (LFTs) ตรวจค่าเอนไซม์ตับ (AST, ALT, ALP), บิลิรูบิน และอัลบูมิน เพื่อดูการทำงานของตับ
  • Fibrosis Score Tests ใช้สูตรคำนวณจากค่าทางชีวเคมี เช่น
    • FIB-4 Score (คำนวณจาก AST, ALT, อายุ และเกล็ดเลือด)
    • APRI Score (ใช้ AST และเกล็ดเลือด)
    • FibroTest หรือ FibroSure – วิเคราะห์ค่าชีวเคมีหลายตัวเพื่อประเมินระดับพังผืด

ข้อดี: ไม่เจ็บตัว, ทำได้ง่าย

ข้อเสีย: ประสิทธิภาพไม่แม่นยำเท่าการตรวจเฉพาะทาง

2. การตรวจทางรังสีวินิจฉัย (Imaging Tests)

ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อประเมินความแข็งและโครงสร้างของตับ

2.1 Elastography (FibroScan, ARFI, SWE) ตรวจความแข็งของตับ

  • FibroScan (Transient Elastography, TE)
  • ใช้คลื่นเสียงวัดความแข็งของตับ หากตับแข็งมากอาจบ่งบอกว่ามีพังผืดรุนแรง
  • เป็นวิธีที่นิยมมากเพราะไม่เจ็บและให้ผลเร็ว
  • Acoustic Radiation Force Impulse (ARFI) และ Shear Wave Elastography (SWE)
  • ใช้หลักการเดียวกัน แต่สามารถทำได้ระหว่างอัลตราซาวนด์ตับ

ข้อดี: แม่นยำกว่าการตรวจเลือด, ไม่ต้องเจาะชิ้นเนื้อ

ข้อเสีย: ประสิทธิภาพลดลงหากมีภาวะไขมันพอกตับหรือมีน้ำในช่องท้อง

2.2 การตรวจอัลตราซาวนด์ (Ultrasound, US) และเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan, MRI)

  • Ultrasound ตับ ประเมินโครงสร้างและขนาดของตับ แต่ไม่สามารถวัดความแข็งของตับได้โดยตรง
  • MRI Elastography (MRE) ตรวจพังผืดได้แม่นยำกว่าการตรวจด้วย FibroScan

ข้อดี: ประเมินตับได้ละเอียด, MRI มีความแม่นยำสูง

ข้อเสีย: ค่าใช้จ่ายสูงกว่า, ใช้เวลานานกว่า

3. การตรวจชิ้นเนื้อตับ (Liver Biopsy) – วิธีมาตรฐานในการวินิจฉัยพังผืด

เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กเจาะตับเพื่อเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อมาตรวจภายใต้กล้องจุลทรรศน์

ข้อดี: ให้ข้อมูลที่ละเอียดที่สุดเกี่ยวกับพังผืดและการอักเสบของตับ

ข้อเสีย: เจ็บตัว, มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออก, อาจเกิดข้อผิดพลาดจากการเก็บตัวอย่างที่ไม่ครอบคลุมทั้งตับ

สรุป

  • การตรวจเลือด (FIB-4, APRI, FibroTest) – ใช้ประเมินเบื้องต้น
  • FibroScan หรือ MRI Elastography – ให้ผลแม่นยำโดยไม่ต้องเจาะตับ
  • Liver Biopsy – ใช้ยืนยันในกรณีที่ผลการตรวจอื่น ๆ ไม่ชัดเจน

การป้องกันและดูแลรักษา

  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์
  • ควบคุมน้ำหนักและป้องกันภาวะไขมันพอกตับ
  • ตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง
  • ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
  • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ลดน้ำตาล ไขมัน และอาหารแปรรูป

หากสงสัยว่ามีพังผืดในตับ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

แผนกอายุรกรรมทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต
เบอร์โทรศัพท์ 02-115-2111 ต่อ 1200
ทุกวันเวลา 07:00-20:00 น.