พังผืดในตับ (Liver Fibrosis) คือภาวะที่เนื้อเยื่อตับเกิดแผลเป็นจากการอักเสบเรื้อรัง ส่งผลให้ตับสูญเสียความสามารถในการทำงาน ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะรุนแรงขึ้น เช่น ตับแข็ง (Cirrhosis) และภาวะตับวายได้
ผลเสียของพังผืดในตับ
- ตับทำงานผิดปกติ ตับมีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญสารอาหาร กำจัดสารพิษ และสร้างโปรตีนสำคัญ เมื่อเกิดพังผืดมากขึ้น ประสิทธิภาพของตับจะลดลง
- เสี่ยงต่อภาวะตับแข็ง หากปล่อยให้พังผืดลุกลามโดยไม่รักษา ตับอาจแข็งตัว ทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
- ความดันโลหิตสูงในระบบหลอดเลือดพอร์ทัล (Portal Hypertension) การไหลเวียนของเลือดในตับถูกขัดขวาง ทำให้เส้นเลือดในทางเดินอาหารโป่งพอง เสี่ยงต่อการแตกและเลือดออก
- การทำงานของภูมิคุ้มกันลดลง ตับเป็นอวัยวะที่ช่วยกำจัดเชื้อโรคบางชนิด หากตับมีพังผืดมากขึ้น ความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อจะลดลง
- เสี่ยงต่อภาวะตับวาย เมื่อพังผืดทำลายเนื้อตับจนไม่สามารถทำงานได้ อาจนำไปสู่ภาวะตับวาย ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
- เสี่ยงต่อมะเร็งตับ ตับที่มีพังผืดเรื้อรังมีโอกาสเกิดเซลล์ผิดปกติและพัฒนาไปเป็นมะเร็งตับได้สูงขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้เกิดพังผืดในตับ
- การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- โรคตับอักเสบเรื้อรัง เช่น ไวรัสตับอักเสบ B และ C
- โรคไขมันพอกตับ (NAFLD)
- โรคออโตอิมมูนที่ทำให้ตับอักเสบ
- การได้รับสารพิษหรือยาบางชนิดเป็นเวลานาน
การตรวจวินิจฉัยพังผืดในตับ (Liver Fibrosis) มีหลายวิธี โดยแบ่งเป็น การตรวจทางห้องปฏิบัติการ(ทางเลือด) การตรวจทางรังสีวินิจฉัย และการตรวจชิ้นเนื้อตับ ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดต่างกัน
1. การตรวจเลือด (Blood Tests)
ใช้ประเมินค่าทางชีวเคมีที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของตับและภาวะพังผืด เช่น
- Liver Function Tests (LFTs) ตรวจค่าเอนไซม์ตับ (AST, ALT, ALP), บิลิรูบิน และอัลบูมิน เพื่อดูการทำงานของตับ
- Fibrosis Score Tests ใช้สูตรคำนวณจากค่าทางชีวเคมี เช่น
- FIB-4 Score (คำนวณจาก AST, ALT, อายุ และเกล็ดเลือด)
- APRI Score (ใช้ AST และเกล็ดเลือด)
- FibroTest หรือ FibroSure – วิเคราะห์ค่าชีวเคมีหลายตัวเพื่อประเมินระดับพังผืด
ข้อดี: ไม่เจ็บตัว, ทำได้ง่าย
ข้อเสีย: ประสิทธิภาพไม่แม่นยำเท่าการตรวจเฉพาะทาง
2. การตรวจทางรังสีวินิจฉัย (Imaging Tests)
ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อประเมินความแข็งและโครงสร้างของตับ
2.1 Elastography (FibroScan, ARFI, SWE) ตรวจความแข็งของตับ
- FibroScan (Transient Elastography, TE)
- ใช้คลื่นเสียงวัดความแข็งของตับ หากตับแข็งมากอาจบ่งบอกว่ามีพังผืดรุนแรง
- เป็นวิธีที่นิยมมากเพราะไม่เจ็บและให้ผลเร็ว
- Acoustic Radiation Force Impulse (ARFI) และ Shear Wave Elastography (SWE)
- ใช้หลักการเดียวกัน แต่สามารถทำได้ระหว่างอัลตราซาวนด์ตับ
ข้อดี: แม่นยำกว่าการตรวจเลือด, ไม่ต้องเจาะชิ้นเนื้อ
ข้อเสีย: ประสิทธิภาพลดลงหากมีภาวะไขมันพอกตับหรือมีน้ำในช่องท้อง
2.2 การตรวจอัลตราซาวนด์ (Ultrasound, US) และเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan, MRI)
- Ultrasound ตับ ประเมินโครงสร้างและขนาดของตับ แต่ไม่สามารถวัดความแข็งของตับได้โดยตรง
- MRI Elastography (MRE) ตรวจพังผืดได้แม่นยำกว่าการตรวจด้วย FibroScan
ข้อดี: ประเมินตับได้ละเอียด, MRI มีความแม่นยำสูง
ข้อเสีย: ค่าใช้จ่ายสูงกว่า, ใช้เวลานานกว่า
3. การตรวจชิ้นเนื้อตับ (Liver Biopsy) – วิธีมาตรฐานในการวินิจฉัยพังผืด
เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กเจาะตับเพื่อเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อมาตรวจภายใต้กล้องจุลทรรศน์
ข้อดี: ให้ข้อมูลที่ละเอียดที่สุดเกี่ยวกับพังผืดและการอักเสบของตับ
ข้อเสีย: เจ็บตัว, มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออก, อาจเกิดข้อผิดพลาดจากการเก็บตัวอย่างที่ไม่ครอบคลุมทั้งตับ
สรุป
- การตรวจเลือด (FIB-4, APRI, FibroTest) – ใช้ประเมินเบื้องต้น
- FibroScan หรือ MRI Elastography – ให้ผลแม่นยำโดยไม่ต้องเจาะตับ
- Liver Biopsy – ใช้ยืนยันในกรณีที่ผลการตรวจอื่น ๆ ไม่ชัดเจน
การป้องกันและดูแลรักษา
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์
- ควบคุมน้ำหนักและป้องกันภาวะไขมันพอกตับ
- ตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง
- ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ลดน้ำตาล ไขมัน และอาหารแปรรูป
หากสงสัยว่ามีพังผืดในตับ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
แผนกอายุรกรรมทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต
เบอร์โทรศัพท์ 02-115-2111 ต่อ 1200
ทุกวันเวลา 07:00-20:00 น.