ทำไมภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV จึงสำคัญ ?
ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Respiratory Syncytial Virus) คือการให้สารภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (passive immunity) แก่ผู้ป่วยเพื่อป้องกันหรือรักษาการติดเชื้อ RSV ซึ่งเป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV เหมาะสำหรับ
- ทารกที่คลอดก่อนกำหนด โดยเฉพาะทารกคลอดก่อนกำหนดอายุครรภ์ น้อยกว่า 29 สัปดาห์ และมีอายุน้อยกว่า 12 เดือน
- เด็กที่มีโรคปอดเรื้อรัง เช่น เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ที่มีโรคปอดเรื้อรัง จากการเกิดก่อนกำหนด (bronchopulmonary dysplasia) (BPD) ที่ยังต้องใช้การรักษาด้วยยาหรือออกซิเจนบำบัด ภายใน 6 เดือน ก่อนเริ่มฤดูกาลระบาด
- เด็กที่มีโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ที่มีโรคหัวใจแต่กำเนิดที่มีผลกระทบต่อระบบไหลเวียนโลหิต
- เด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น เด็กที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะหรือมีโรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ควรได้รับบ่อยแค่ไหน
ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV เช่น Palivizumab จะได้รับเดือนละครั้งติดต่อกัน 5 เดือน ในช่วงฤดูกาลที่มีการระบาดของ RSV ซึ่งมักอยู่ในช่วงฤดูหนาว (ประมาณ 5 เดือน มิถุนายน-ตุลาคม)
ผลข้างเคียงของยา
ผลข้างเคียงของภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV อาจรวมถึง
- อาการแพ้ เช่น ผื่นคัน หรือบวมบริเวณที่ฉีด
- มีไข้
- ระคายเคืองบริเวณที่ฉีด
- ในบางกรณีอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดหรือหวัด
การดูแลหลังได้รับยา
หลังจากได้รับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV ควรปฏิบัติดังนี้
- สังเกตอาการแพ้ โดยเฉพาะในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังการฉีด หากมีอาการแพ้รุนแรง เช่น ผื่นแดง หายใจลำบาก หรือบวม ควรรีบพบแพทย์ทันที
- ติดตามอาการทั่วไป เช่น มีไข้ หรืออาการปวดบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยและมักไม่รุนแรง
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการติดตามการรักษาและการนัดหมายครั้งถัดไป