ไข้เลือดออก (Dengue Fever) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) ซึ่งแพร่กระจายโดย ยุงลาย (Aedes aegypti และ Aedes albopictus) ซึ่งเป็นพาหะหลัก แต่การจะติดเชื้อหรือป่วยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น
- ปริมาณยุงลายในพื้นที่: หากมีจำนวนยุงลายในพื้นที่มาก โอกาสถูกยุงกัดก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ
- การติดเชื้อของยุงลาย: ยุงลายที่แพร่เชื้อไข้เลือดออกจะต้องเคยกัดคนที่มีเชื้อไวรัสเดงกีอยู่ก่อน ดังนั้นการแพร่ระบาดจะเกิดง่ายขึ้นในพื้นที่ที่มีคนป่วยอยู่แล้ว
- การโดนกัดหลายครั้ง: หากถูกยุงที่ติดเชื้อกัดเพียงครั้งเดียว โอกาสติดเชื้อก็สูง แต่หากถูกกัดบ่อยและหลายตัว ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นมาก
- ภูมิคุ้มกันของร่างกาย: ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือเคยติดเชื้อไวรัสเดงกีชนิดอื่นมาก่อน อาจมีโอกาสเป็นโรคไข้เลือดออกซ้ำที่รุนแรงกว่า
ป้องกันการติดเชื้อไข้เลือดออกจากยุงลาย
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง: เช่น น้ำขังในภาชนะต่าง ๆ รอบบ้าน ควรทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
- ทายากันยุง: เลือกใช้ยากันยุงที่มีประสิทธิภาพ เช่น DEET หรือสมุนไพรที่มีการรับรอง
- ติดตั้งมุ้งลวด: เพื่อป้องกันยุงบินเข้ามาในบ้าน
- ใส่เสื้อผ้าปกคลุม: สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว โดยเฉพาะในช่วงเช้าและเย็นที่ยุงลายชอบออกหากิน
หากเริ่มมีอาการที่เข้าข่าย เช่น ไข้สูง ปวดหัวมาก ปวดกล้ามเนื้อหรือกระดูก มีจุดเลือดออกเล็ก ๆ ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว
โรคไข้เลือดออก มีอาการอย่างไร
อาการของ ไข้เลือดออก สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะหลัก ๆ โดยอาการอาจแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของโรค ดังนี้
1. ระยะไข้ (Febrile Phase)
- ไข้สูงทันที (38.5-41°C) ติดต่อกัน 2-7 วัน
- ปวดศีรษะรุนแรง
- ปวดเบ้าตา และปวดกล้ามเนื้อหรือข้อ (เรียกว่า “ไข้กระดูก”)
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
- มีผื่นแดง หรือจุดแดงเล็ก ๆ บนผิวหนัง (เกิดจากเลือดออกใต้ผิวหนัง)
- อาจมีเลือดออกง่าย เช่น เลือดกำเดาไหล หรือเลือดออกตามไรฟัน
2. ระยะวิกฤติ (Critical Phase)
ระยะนี้มักเกิดในวันที่ 3-7 ของไข้ อันตรายมากที่สุด เพราะอาจเกิดภาวะเลือดออกหรือช็อกได้
- ไข้เริ่มลดลง แต่ผู้ป่วยดูอ่อนเพลียมากขึ้น
- เลือดออกง่าย เช่น อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด สีดำคล้ายยางมะตอย
- มีอาการช็อก เช่น มือเท้าเย็น ซีด เหงื่อออกมาก ชีพจรเต้นเบาและเร็ว
- ท้องอืด แน่นท้อง หรือปวดท้องบริเวณชายโครงขวา (ตับโต)
3. ระยะฟื้นตัว (Recovery Phase)
หากผู้ป่วยผ่านระยะวิกฤติไปได้ อาการจะเริ่มดีขึ้นใน 48-72 ชั่วโมง
- ไข้ลดลง ร่างกายเริ่มสดชื่นขึ้น
- ความอยากอาหารกลับมา
- อาจมีผื่นลอกบนผิวหนังในบางกรณี
เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์ทันที
- ไข้สูงไม่ลดเกิน 2 วัน หรือไข้ลดแล้วแต่อาการแย่ลง
- มีเลือดออก เช่น อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายเป็นสีดำ
- ปวดท้องรุนแรง แน่นท้อง อ่อนเพลียมาก
- มือเท้าเย็น ตัวซีด หรือสงสัยว่ามีอาการช็อก
การดูแลเบื้องต้น
- ดื่มน้ำเกลือแร่หรือน้ำเปล่ามาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
- ใช้ยาลดไข้ที่มี พาราเซตามอล หลีกเลี่ยงยาแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน (เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก)
- พักผ่อนให้เพียงพอ
หากสงสัยว่าติดเชื้อ ควรพบแพทย์ทันทีเพื่อวินิจฉัยและติดตามอาการค่ะ
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้เลือดออก
ไข้เลือดออก สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่อาการรุนแรงหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ภาวะแทรกซ้อนสำคัญมีดังนี้
1. ภาวะช็อก (Dengue Shock Syndrome – DSS)
- เกิดจาก การรั่วของพลาสมา ออกจากหลอดเลือด ทำให้ปริมาณเลือดในระบบไหลเวียนลดลง
- อาการ: ตัวเย็น มือเท้าเย็น ชีพจรเบาและเร็ว ความดันโลหิตต่ำ อ่อนเพลียมาก อาจหมดสติ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน อาจเสียชีวิตได้
2. ภาวะเลือดออกผิดปกติ (Hemorrhagic Complications)
- เกิดจากเกล็ดเลือดต่ำและความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด
- อาการ: เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด (สีดำคล้ายยางมะตอย) เลือดออกในอวัยวะภายใน เช่น สมองหรือช่องท้อง (พบในผู้ป่วยรุนแรง)
3. ภาวะตับวาย (Liver Failure)
- ไวรัสเดงกีอาจทำให้เกิดการอักเสบของตับอย่างรุนแรง
- อาการ: ตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องอืด แน่นใต้ชายโครงขวา คลื่นไส้ อาเจียนบ่อย
4. ภาวะน้ำในช่องปอดหรือช่องท้อง (Pleural Effusion/Ascites)
- เกิดจากการรั่วของพลาสมาเข้าไปสะสมในช่องปอดหรือช่องท้อง
- อาการ: หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ท้องบวม
5. ไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Injury)
- เกิดจากการลดลงของปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงไต
- อาจเกิดร่วมกับภาวะช็อกหรือการขาดน้ำอย่างรุนแรง
6. การติดเชื้อซ้ำหรือรุนแรงขึ้น (Secondary Dengue Infection)
- การติดเชื้อไวรัสเดงกีครั้งที่ 2 (จากสายพันธุ์ต่างกัน) อาจทำให้มีความเสี่ยงเป็นไข้เลือดออกรุนแรงมากขึ้น
ใครมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
- เด็กเล็กและผู้สูงอายุ
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- สตรีตั้งครรภ์
ป้องกันภาวะแทรกซ้อนอย่างไร
- พบแพทย์เร็ว เมื่อมีอาการสงสัยไข้เลือดออก โดยเฉพาะอาการเลือดออกหรือช็อก
- ติดตามอาการใกล้ชิด ในช่วงวันที่ 3-7 ของไข้ เพราะเป็นช่วงที่เสี่ยงมากที่สุด
- หลีกเลี่ยงยาแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก
- ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย
หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไข้ลดแต่ตัวอ่อนเพลียมากขึ้น ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที
โรคไข้เลือดออก สามารถรักษาตัวอยู่ที่บ้านได้หรือไม่
การรักษาไข้เลือดออกขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ในบางกรณีสามารถรักษาตัวที่บ้านได้ แต่ต้องมีการเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด ส่วนเรื่องวัคซีนป้องกันก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ควรทราบเช่นกัน
การรักษาตัวที่บ้าน หากอาการของผู้ป่วยยังไม่รุนแรง เช่น ไข้สูงแต่ไม่มีภาวะเลือดออกหรืออาการช็อก สามารถดูแลตัวเองที่บ้านได้ ดังนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอ ผู้ป่วยควรพักผ่อนในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวกและเงียบสงบ
- ดื่มน้ำมาก ๆ ดื่มน้ำเกลือแร่ น้ำเปล่า หรือน้ำผลไม้ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ
- ใช้ยาลดไข้ที่เหมาะสม ใช้ยาพาราเซตามอลเท่านั้นเพื่อลดไข้ ห้ามใช้ยาแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก
- เฝ้าระวังอาการ สังเกตอาการเลือดออก เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน จุดเลือดออกตามตัว ระวังอาการช็อก เช่น มือเท้าเย็น เหงื่อออกมาก ตัวซีด ชีพจรเต้นเบา
- ห้ามออกแรงหนัก งดกิจกรรมที่ต้องใช้แรง เช่น ออกกำลังกายหรือยกของหนัก เพื่อป้องกันการกระตุ้นเลือดออก
เมื่อไหร่ต้องไปโรงพยาบาล
- ไข้สูงไม่ลดลงเกิน 2 วัน
- อาเจียนบ่อย หรือรับประทานอาหารไม่ได้
- มีอาการเลือดออกผิดปกติ
- มือเท้าเย็น ซีด หรือมีอาการช็อก
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก
ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก เช่น Dengvaxia (CYD-TDV) ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัสเดงกีได้ในบางกรณี แต่มีข้อควรทราบเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนดังนี้
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก เหมาะกับใคร
- สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสเดงกีแล้ว (มีภูมิคุ้มกันบางส่วน)
- เด็กอายุตั้งแต่ 9 ปีขึ้นไป หรือผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้เลือดออก
ข้อจำกัด
- หากไม่เคยติดเชื้อไวรัสเดงกีมาก่อน การฉีดวัคซีนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นไข้เลือดออกรุนแรงหากติดเชื้อครั้งแรก
- จำเป็นต้องตรวจเลือดเพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสเดงกีมาก่อน
วิธีป้องกันอื่นๆ
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เช่น เทน้ำขังในภาชนะรอบบ้าน
- ใช้ยากันยุงและใส่เสื้อผ้าปกคลุม เพื่อป้องกันการถูกยุงกัด
- ติดตั้งมุ้งลวดหรือใช้มุ้งนอน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการระบาด
สรุป
- หากอาการไม่รุนแรง สามารถรักษาตัวที่บ้านได้ แต่ต้องเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด
- วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้ แต่เหมาะกับผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน
- หากมีอาการรุนแรงหรือสงสัยว่ามีภาวะแทรกซ้อน ควรรีบพบแพทย์ทันที