ไข้เลือดออก (Dengue Fever) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) ซึ่งแพร่กระจายโดย ยุงลาย (Aedes aegypti และ Aedes albopictus) ซึ่งเป็นพาหะหลัก แต่การจะติดเชื้อหรือป่วยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น

  1. ปริมาณยุงลายในพื้นที่: หากมีจำนวนยุงลายในพื้นที่มาก โอกาสถูกยุงกัดก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ
  2. การติดเชื้อของยุงลาย: ยุงลายที่แพร่เชื้อไข้เลือดออกจะต้องเคยกัดคนที่มีเชื้อไวรัสเดงกีอยู่ก่อน ดังนั้นการแพร่ระบาดจะเกิดง่ายขึ้นในพื้นที่ที่มีคนป่วยอยู่แล้ว
  3. การโดนกัดหลายครั้ง: หากถูกยุงที่ติดเชื้อกัดเพียงครั้งเดียว โอกาสติดเชื้อก็สูง แต่หากถูกกัดบ่อยและหลายตัว ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นมาก
  4. ภูมิคุ้มกันของร่างกาย: ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือเคยติดเชื้อไวรัสเดงกีชนิดอื่นมาก่อน อาจมีโอกาสเป็นโรคไข้เลือดออกซ้ำที่รุนแรงกว่า

ป้องกันการติดเชื้อไข้เลือดออกจากยุงลาย

  1. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง: เช่น น้ำขังในภาชนะต่าง ๆ รอบบ้าน ควรทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
  2. ทายากันยุง: เลือกใช้ยากันยุงที่มีประสิทธิภาพ เช่น DEET หรือสมุนไพรที่มีการรับรอง
  3. ติดตั้งมุ้งลวด: เพื่อป้องกันยุงบินเข้ามาในบ้าน
  4. ใส่เสื้อผ้าปกคลุม: สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว โดยเฉพาะในช่วงเช้าและเย็นที่ยุงลายชอบออกหากิน

หากเริ่มมีอาการที่เข้าข่าย เช่น ไข้สูง ปวดหัวมาก ปวดกล้ามเนื้อหรือกระดูก มีจุดเลือดออกเล็ก ๆ ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว

โรคไข้เลือดออก มีอาการอย่างไร

อาการของ ไข้เลือดออก สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะหลัก ๆ โดยอาการอาจแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของโรค ดังนี้

1. ระยะไข้ (Febrile Phase)

  • ไข้สูงทันที (38.5-41°C) ติดต่อกัน 2-7 วัน
  • ปวดศีรษะรุนแรง
  • ปวดเบ้าตา และปวดกล้ามเนื้อหรือข้อ (เรียกว่า “ไข้กระดูก”)
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
  • มีผื่นแดง หรือจุดแดงเล็ก ๆ บนผิวหนัง (เกิดจากเลือดออกใต้ผิวหนัง)
  • อาจมีเลือดออกง่าย เช่น เลือดกำเดาไหล หรือเลือดออกตามไรฟัน

2. ระยะวิกฤติ (Critical Phase)

ระยะนี้มักเกิดในวันที่ 3-7 ของไข้ อันตรายมากที่สุด เพราะอาจเกิดภาวะเลือดออกหรือช็อกได้

  • ไข้เริ่มลดลง แต่ผู้ป่วยดูอ่อนเพลียมากขึ้น
  • เลือดออกง่าย เช่น อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด สีดำคล้ายยางมะตอย
  • มีอาการช็อก เช่น มือเท้าเย็น ซีด เหงื่อออกมาก ชีพจรเต้นเบาและเร็ว
  • ท้องอืด แน่นท้อง หรือปวดท้องบริเวณชายโครงขวา (ตับโต)

3. ระยะฟื้นตัว (Recovery Phase)

หากผู้ป่วยผ่านระยะวิกฤติไปได้ อาการจะเริ่มดีขึ้นใน 48-72 ชั่วโมง

  • ไข้ลดลง ร่างกายเริ่มสดชื่นขึ้น
  • ความอยากอาหารกลับมา
  • อาจมีผื่นลอกบนผิวหนังในบางกรณี

เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์ทันที

  • ไข้สูงไม่ลดเกิน 2 วัน หรือไข้ลดแล้วแต่อาการแย่ลง
  • มีเลือดออก เช่น อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายเป็นสีดำ
  • ปวดท้องรุนแรง แน่นท้อง อ่อนเพลียมาก
  • มือเท้าเย็น ตัวซีด หรือสงสัยว่ามีอาการช็อก

การดูแลเบื้องต้น

  • ดื่มน้ำเกลือแร่หรือน้ำเปล่ามาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • ใช้ยาลดไข้ที่มี พาราเซตามอล หลีกเลี่ยงยาแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน (เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก)
  • พักผ่อนให้เพียงพอ

หากสงสัยว่าติดเชื้อ ควรพบแพทย์ทันทีเพื่อวินิจฉัยและติดตามอาการค่ะ

ภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่อาการรุนแรงหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ภาวะแทรกซ้อนสำคัญมีดังนี้

1. ภาวะช็อก (Dengue Shock Syndrome – DSS)

  • เกิดจาก การรั่วของพลาสมา ออกจากหลอดเลือด ทำให้ปริมาณเลือดในระบบไหลเวียนลดลง
  • อาการ: ตัวเย็น มือเท้าเย็น ชีพจรเบาและเร็ว ความดันโลหิตต่ำ อ่อนเพลียมาก อาจหมดสติ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน อาจเสียชีวิตได้

2. ภาวะเลือดออกผิดปกติ (Hemorrhagic Complications)

  • เกิดจากเกล็ดเลือดต่ำและความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด
  • อาการ: เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด (สีดำคล้ายยางมะตอย) เลือดออกในอวัยวะภายใน เช่น สมองหรือช่องท้อง (พบในผู้ป่วยรุนแรง)

3. ภาวะตับวาย (Liver Failure)

  • ไวรัสเดงกีอาจทำให้เกิดการอักเสบของตับอย่างรุนแรง
  • อาการ: ตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องอืด แน่นใต้ชายโครงขวา คลื่นไส้ อาเจียนบ่อย

4. ภาวะน้ำในช่องปอดหรือช่องท้อง (Pleural Effusion/Ascites)

  • เกิดจากการรั่วของพลาสมาเข้าไปสะสมในช่องปอดหรือช่องท้อง
  • อาการ: หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ท้องบวม

5. ไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Injury)

  • เกิดจากการลดลงของปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงไต
  • อาจเกิดร่วมกับภาวะช็อกหรือการขาดน้ำอย่างรุนแรง

6. การติดเชื้อซ้ำหรือรุนแรงขึ้น (Secondary Dengue Infection)

  • การติดเชื้อไวรัสเดงกีครั้งที่ 2 (จากสายพันธุ์ต่างกัน) อาจทำให้มีความเสี่ยงเป็นไข้เลือดออกรุนแรงมากขึ้น

ใครมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน

  • เด็กเล็กและผู้สูงอายุ
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • สตรีตั้งครรภ์

ป้องกันภาวะแทรกซ้อนอย่างไร

  • พบแพทย์เร็ว เมื่อมีอาการสงสัยไข้เลือดออก โดยเฉพาะอาการเลือดออกหรือช็อก
  • ติดตามอาการใกล้ชิด ในช่วงวันที่ 3-7 ของไข้ เพราะเป็นช่วงที่เสี่ยงมากที่สุด
  • หลีกเลี่ยงยาแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก
  • ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย

หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไข้ลดแต่ตัวอ่อนเพลียมากขึ้น ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที

โรคไข้เลือดออก สามารถรักษาตัวอยู่ที่บ้านได้หรือไม่

การรักษาไข้เลือดออกขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ในบางกรณีสามารถรักษาตัวที่บ้านได้ แต่ต้องมีการเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด ส่วนเรื่องวัคซีนป้องกันก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ควรทราบเช่นกัน

การรักษาตัวที่บ้าน หากอาการของผู้ป่วยยังไม่รุนแรง เช่น ไข้สูงแต่ไม่มีภาวะเลือดออกหรืออาการช็อก สามารถดูแลตัวเองที่บ้านได้ ดังนี้

  • พักผ่อนให้เพียงพอ ผู้ป่วยควรพักผ่อนในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวกและเงียบสงบ
  • ดื่มน้ำมาก ๆ ดื่มน้ำเกลือแร่ น้ำเปล่า หรือน้ำผลไม้ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ
  • ใช้ยาลดไข้ที่เหมาะสม ใช้ยาพาราเซตามอลเท่านั้นเพื่อลดไข้ ห้ามใช้ยาแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก
  • เฝ้าระวังอาการ สังเกตอาการเลือดออก เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน จุดเลือดออกตามตัว ระวังอาการช็อก เช่น มือเท้าเย็น เหงื่อออกมาก ตัวซีด ชีพจรเต้นเบา
  • ห้ามออกแรงหนัก งดกิจกรรมที่ต้องใช้แรง เช่น ออกกำลังกายหรือยกของหนัก เพื่อป้องกันการกระตุ้นเลือดออก

เมื่อไหร่ต้องไปโรงพยาบาล

  • ไข้สูงไม่ลดลงเกิน 2 วัน
  • อาเจียนบ่อย หรือรับประทานอาหารไม่ได้
  • มีอาการเลือดออกผิดปกติ
  • มือเท้าเย็น ซีด หรือมีอาการช็อก

วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก

ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก เช่น Dengvaxia (CYD-TDV) ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัสเดงกีได้ในบางกรณี แต่มีข้อควรทราบเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนดังนี้

วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก เหมาะกับใคร

  • สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสเดงกีแล้ว (มีภูมิคุ้มกันบางส่วน)
  • เด็กอายุตั้งแต่ 9 ปีขึ้นไป หรือผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้เลือดออก

ข้อจำกัด

  • หากไม่เคยติดเชื้อไวรัสเดงกีมาก่อน การฉีดวัคซีนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นไข้เลือดออกรุนแรงหากติดเชื้อครั้งแรก
  • จำเป็นต้องตรวจเลือดเพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสเดงกีมาก่อน

วิธีป้องกันอื่นๆ

  • กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เช่น เทน้ำขังในภาชนะรอบบ้าน
  • ใช้ยากันยุงและใส่เสื้อผ้าปกคลุม เพื่อป้องกันการถูกยุงกัด
  • ติดตั้งมุ้งลวดหรือใช้มุ้งนอน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการระบาด

สรุป

  • หากอาการไม่รุนแรง สามารถรักษาตัวที่บ้านได้ แต่ต้องเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด
  • วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้ แต่เหมาะกับผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน
  • หากมีอาการรุนแรงหรือสงสัยว่ามีภาวะแทรกซ้อน ควรรีบพบแพทย์ทันที