“สุขภาพดีก็มีสิทธิเป็นมะเร็งได้”

การที่คนมีสุขภาพดีแต่ยังมีโอกาสเป็นมะเร็งได้นั้น เกิดจากหลายปัจจัย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพเพียงอย่างเดียว มะเร็งเป็นโรคที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของเซลล์ในร่างกาย และสาเหตุของการกลายพันธุ์นี้มีหลายประการ เช่น

  1. พันธุกรรม บางคนมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเนื่องจากพันธุกรรมที่ได้รับจากครอบครัว ยีนบางตัวอาจมีความผิดปกติที่สืบทอดมาจากพ่อแม่ ซึ่งทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงขึ้น เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่
  2. สิ่งแวดล้อมและมลภาวะ การสัมผัสกับสารเคมีบางชนิด รังสีอันตราย หรือมลภาวะทางอากาศ สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้ แม้ว่าโดยรวมบุคคลนั้นจะมีสุขภาพดี
  3. อาหารและการใช้ชีวิต แม้บางคนจะมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่ดี เช่น การออกกำลังกายและทานอาหารที่สมดุล แต่อาจยังสัมผัสกับสารก่อมะเร็งในอาหาร เช่น สารกันบูด สารเคมีในยาฆ่าแมลง หรือสารพิษจากการปิ้งย่าง
  4. ไวรัสบางชนิด การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสตับอักเสบ B และ C ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งตับ หรือ HPV ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งปากมดลูก สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้
  5. ความผิดปกติในการแบ่งเซลล์ตามธรรมชาติ เซลล์ในร่างกายมีการแบ่งตัวและซ่อมแซมตนเองอยู่ตลอดเวลา ในกระบวนการนี้บางครั้งอาจเกิดข้อผิดพลาดในการซ่อมแซม DNA ซึ่งอาจนำไปสู่การกลายพันธุ์และเกิดมะเร็ง
  6. อายุ โอกาสในการเป็นมะเร็งจะเพิ่มขึ้นตามอายุ แม้ว่าจะดูแลสุขภาพดีตลอดชีวิตก็ตาม เพราะเซลล์ร่างกายเสื่อมลงและมีโอกาสเกิดความผิดปกติได้ง่ายขึ้น

การดูแลสุขภาพสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้ แต่ไม่สามารถป้องกันได้ 100% เนื่องจากมีปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม

มะเร็งเกิดจากอะไร

มะเร็งเกิดจากความผิดปกติของเซลล์ในร่างกายที่แบ่งตัวอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งนำไปสู่การเจริญเติบโตของก้อนเนื้อหรือเนื้อเยื่อที่ผิดปกติในร่างกาย สาเหตุที่ทำให้เซลล์เกิดความผิดปกตินั้นมีหลายปัจจัย โดยแบ่งได้เป็น 3 ปัจจัยหลัก คือ

1. พันธุกรรม

บางคนมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งสูงเนื่องจากยีนหรือพันธุกรรมที่ได้รับจากพ่อแม่ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มียีน BRCA1 หรือ BRCA2 ที่ผิดปกติ มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ การตรวจสอบพันธุกรรมสามารถช่วยระบุความเสี่ยงของมะเร็งได้ในบางกรณี

2. สิ่งแวดล้อมและพฤติกรรม

การสัมผัสกับสารก่อมะเร็งในสิ่งแวดล้อมและการใช้ชีวิตประจำวันสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้ ตัวอย่างปัจจัยสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมที่ส่งผลต่อการเกิดมะเร็ง ได้แก่

  • การสูบบุหรี่ บุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งปอดและมะเร็งชนิดอื่นๆ เช่น มะเร็งกล่องเสียงและมะเร็งกระเพาะอาหาร
  • การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งช่องปาก คอหอย หลอดอาหาร ตับ และเต้านม
  • สารเคมีและมลภาวะ การสัมผัสสารเคมีที่เป็นพิษ เช่น แร่ใยหิน (asbestos) หรือเบนซีน สามารถเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งได้
  • รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) การโดนแสงแดดมากเกินไป โดยเฉพาะรังสี UV สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง

3. การติดเชื้อ

ไวรัสบางชนิดมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง ตัวอย่างเช่น

  • ไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมา (HPV) เกี่ยวข้องกับมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ลำคอและปาก
  • ไวรัสตับอักเสบ B และ C เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ
  • ไวรัสเอชไอวี (HIV) ลดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิด

4. ความผิดปกติในระดับโมเลกุล

มะเร็งสามารถเกิดขึ้นจากความผิดปกติในระดับ DNA ของเซลล์ ซึ่งส่งผลให้เซลล์นั้นไม่สามารถควบคุมการแบ่งตัวได้ตามปกติ ความผิดปกติในยีนที่ควบคุมการเติบโตของเซลล์ เช่น ยีนที่กระตุ้นการแบ่งตัว (oncogenes) หรือยีนที่ควบคุมการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ (tumor suppressor genes) จะนำไปสู่การเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์

ปัจจัยในการเกิดมะเร็งมีอะไรบ้าง

1. พันธุกรรม

บางคนมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงขึ้นเนื่องจากมียีนหรือพันธุกรรมที่ผิดปกติซึ่งสืบทอดมาจากครอบครัว เช่น ยีน BRCA1 และ BRCA2 ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านมและรังไข่

2. ฮอร์โมน

ฮอร์โมนบางชนิด เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิง อาจส่งผลต่อความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมและมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

3. ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยเอชไอวี (HIV) หรือผู้ที่รับยากดภูมิคุ้มกัน จะมีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งสูงขึ้น เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถกำจัดเซลล์ผิดปกติได้

4. ความผิดปกติของเซลล์ (Cellular Mutations)

การกลายพันธุ์ของเซลล์อาจเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติระหว่างกระบวนการแบ่งเซลล์ บางครั้งการกลายพันธุ์นี้อาจทำให้เกิดเซลล์มะเร็ง

5. พฤติกรรมและการใช้ชีวิต

  • การสูบบุหรี่ บุหรี่มีสารเคมีหลายชนิดที่เป็นสารก่อมะเร็ง การสูบบุหรี่ทำให้เกิดมะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และมะเร็งชนิดอื่นๆ
  • การดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในช่องปาก คอหอย หลอดอาหาร ตับ และเต้านม
  • การรับประทานอาหารไม่เหมาะสม การทานอาหารที่มีไขมันสูง มีสารกันบูด หรือการกินเนื้อสัตว์ที่ผ่านการย่างหรือปิ้งด้วยความร้อนสูงเป็นประจำ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง

6. การสัมผัสสารเคมีและสารก่อมะเร็ง

  • สารก่อมะเร็งในสิ่งแวดล้อม เช่น การสัมผัสกับแร่ใยหิน (asbestos), เบนซีน, และสารเคมีจากยาฆ่าแมลง หรือมลภาวะจากอุตสาหกรรม
  • การใช้สารเคมีในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย

7. การติดเชื้อ

  • ไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมา (HPV) เกี่ยวข้องกับมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งในระบบอวัยวะสืบพันธุ์
  • ไวรัสตับอักเสบ B และ C เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ
  • เชื้อ Helicobacter pylori ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร

8. รังสีและมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม

  • รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) การได้รับแสงแดดหรือแสงจากแหล่งกำเนิดรังสี UV มากเกินไป จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง
  • รังสีจากการแพทย์ การได้รับรังสีจากการตรวจภาพทางการแพทย์ เช่น การเอ็กซเรย์ หรือการฉายรังสีรักษาในปริมาณสูงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง

9. อายุ

อายุเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเพิ่มขึ้น เนื่องจากกระบวนการการเสื่อมของเซลล์ และการสะสมของการกลายพันธุ์ในเซลล์เมื่ออายุมากขึ้น

ปัจจัยที่อาจป้องกันได้

แม้บางปัจจัยจะไม่สามารถควบคุมได้ เช่น พันธุกรรมหรืออายุ แต่ปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง เช่น การเลิกสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การออกกำลังกาย และการป้องกันตนเองจากการสัมผัสสารก่อมะเร็ง สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้

สารก่อมะเร็ง

สารก่อมะเร็ง (Carcinogens) คือสารหรือปัจจัยที่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์จนส่งผลให้เกิดมะเร็งได้ สารก่อมะเร็งสามารถพบได้ในสิ่งแวดล้อม พฤติกรรมการดำเนินชีวิต และสารเคมีที่ถูกใช้ในอุตสาหกรรมหรือชีวิตประจำวัน สารก่อมะเร็งแบ่งได้เป็นหลายประเภท ได้แก่

1. สารเคมี (Chemical Carcinogens)

สารเคมีที่อาจก่อมะเร็งนั้นมีอยู่มากมายและสามารถพบได้ในสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างของสารเคมีที่เป็นสารก่อมะเร็ง ได้แก่

  • สารในควันบุหรี่: เช่น ทาร์ (Tar), เบนซีน (Benzene), ฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
  • แร่ใยหิน (Asbestos): เป็นสารที่ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งเชื่อมโยงกับการเกิดมะเร็งเยื่อหุ้มปอด
  • เบนซีน (Benzene): พบในสารละลายและในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สามารถก่อให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • ไนโตรซามีน (Nitrosamines): สารที่เกิดจากการถนอมอาหารด้วยวิธีการหมัก ดอง หรือการแปรรูปอาหาร เช่น ไส้กรอกและแฮม ซึ่งเชื่อมโยงกับมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งตับ

2. สารกัมมันตรังสีและรังสี (Radiation Carcinogens)

การสัมผัสกับรังสีในปริมาณมากหรือการสัมผัสในระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดมะเร็งได้ เช่น

  • รังสีอัลตราไวโอเลต (UV): จากแสงแดดเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง เช่น มะเร็งเมลาโนมา (Melanoma)
  • รังสีเอกซ์ (X-rays) และ รังสีแกมมา (Gamma rays): การได้รับรังสีในระดับสูงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งชนิดต่างๆ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมไทรอยด์
  • ก๊าซเรดอน (Radon): ก๊าซธรรมชาติที่เกิดจากการสลายตัวของแร่ยูเรเนียม ซึ่งอาจสะสมในอาคารและเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งปอด

3. สารชีวภาพ (Biological Carcinogens)

เชื้อโรคหรือไวรัสบางชนิดสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้ เช่น

  • ไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมา (HPV): เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก และเกี่ยวข้องกับมะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์และลำคอ
  • ไวรัสตับอักเสบ B และ C: เกี่ยวข้องกับมะเร็งตับ โดยไวรัสเหล่านี้สามารถทำให้เกิดการอักเสบของตับที่เรื้อรัง และนำไปสู่การกลายพันธุ์ของเซลล์ตับ
  • เชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori: เกี่ยวข้องกับมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร

4. สารในอาหาร (Dietary Carcinogens)

การรับประทานอาหารบางชนิดหรือการปรุงอาหารด้วยวิธีการที่ไม่ถูกสุขลักษณะสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้ เช่น

  • สารอะคริลาไมด์ (Acrylamide): เกิดขึ้นเมื่ออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงถูกปรุงด้วยอุณหภูมิสูง เช่น การทอด มันฝรั่งทอดและขนมปังปิ้งอาจมีสารอะคริลาไมด์ซึ่งเชื่อมโยงกับมะเร็ง
  • สารไนเตรตและไนไตรต์ (Nitrates and Nitrites): พบในอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอกและเบคอน เมื่อตกค้างในร่างกายจะเปลี่ยนเป็นสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

5. ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม (Environmental Carcinogens)

ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) และมลพิษจากการเผาไหม้จากยานยนต์หรือโรงงานอุตสาหกรรม มีสารก่อมะเร็ง เช่น เบนซีนและไดออกซินที่สามารถส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจและระบบอื่นๆ ในร่างกาย

การลดความเสี่ยงจากสารก่อมะเร็ง

การลดความเสี่ยงจากการสัมผัสสารก่อมะเร็งสามารถทำได้โดย

  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการสัมผัสกับควันบุหรี่
  • ใช้ครีมกันแดดและป้องกันผิวจากรังสี UV
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป
  • ลดการสัมผัสสารเคมีอันตรายในที่ทำงานและชีวิตประจำวัน

พฤติกรรมการใช้ชีวิต

พฤติกรรมการใช้ชีวิต มีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพและความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ รวมถึงมะเร็ง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังและมะเร็งได้ พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อสุขภาพ มีดังนี้

  1. การสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอด นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งอื่น ๆ เช่น มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งช่องปาก มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และมะเร็งตับอ่อน การเลิกสูบบุหรี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งและโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น โรคหัวใจและโรคทางเดินหายใจ
  2. การดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในหลายอวัยวะ เช่น มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งช่องปาก และมะเร็งหลอดอาหาร การจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะจะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้
  3. การรับประทานอาหาร การรับประทานอาหารมีผลต่อการเกิดโรคมะเร็ง การเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพจะช่วยลดความเสี่ยง เช่น
    • อาหารที่มีผักและผลไม้สูง: ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
    • อาหารที่มีเส้นใยสูง: เช่น ธัญพืชและพืชตระกูลถั่ว ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่
    • หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป: อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ไส้กรอก เบคอน หรืออาหารหมักดอง ที่มีสารกันบูดไนเตรตหรือไนไตรต์อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง
  4. การออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม และมะเร็งปอด นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดความดันโลหิต และปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  5. การควบคุมน้ำหนัก การมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมมีส่วนสำคัญในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน ความอ้วนเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่
  6. การนอนหลับ การนอนหลับที่ไม่เพียงพอหรือมีคุณภาพต่ำส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ รวมถึงโรคมะเร็ง การนอนหลับที่เพียงพอ (7-8 ชั่วโมงต่อคืน) ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและรักษาสุขภาพโดยรวม
  7. การจัดการความเครียด ความเครียดเรื้อรังสามารถส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกันและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจ การใช้วิธีการจัดการความเครียด เช่น การทำสมาธิ การออกกำลังกาย หรือการทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย สามารถช่วยลดความเครียดและเสริมสร้างสุขภาพจิตใจ
  8. การหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อมะเร็ง การป้องกันตนเองจากสารก่อมะเร็งในสิ่งแวดล้อมและที่ทำงาน เช่น สารเคมี แร่ใยหิน มลพิษทางอากาศ และรังสีอัลตราไวโอเลต เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดความเสี่ยงต่อมะเร็ง

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง แต่ยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม และเพิ่มคุณภาพชีวิตได้