สุขภาพที่ดีคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา การมีสุขที่ดีต้องอาศัยการให้เวลากับตัวเองเริ่มจากเพียงวันละ 1 ชั่วโมงในการออกกำลังกาย อีก 7-8 ชั่วโมงในการนอนหลับพักผ่อนและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย สุขภาพดีหมายถึงต้องดีทั้งทางร่างกายและจิตใจซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำเนินชีวิต การมีสุขภาพและพลานามัยที่ดีเป็นสิ่งที่ตัวเราเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนด สุขภาพดีเราเลือกได้แต่เราได้เลือกแล้วหรือยัง ที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตอย่างถูกต้องหรือยัง เราให้ความสนใจเรื่องอาหารการกินหรือเปล่าใส่ใจดูแลร่างกายตัวเองหรือเปล่า เรากินเพื่ออยู่ไปวันๆ หรือเรามีความสุขกับการกินจนมากเกินไป ถ้าเป็นแบบนั้นเราคงต้องย้อนหันกลับมาดูตัวเอง และเปลื่ยนแปลงการดำเนินชีวิตให้ถูกต้องได้แล้วเริ่มจากการดูแลตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าว่าร่างกายเราพร่องตรงไหนบ้าง เช่น ฟันผุหรือเปล่า เส้นผมสุขภาพเป็นยังไงมีรังแคหรือผมแตกปลายไหม ผิวพรรณล่ะสะอาดสดใส หรือมีแต่ขี้ไคลขึ้นเต็มไปหมดผิวหน้าเป็นยังไงสิวมีไหม หน้ามันเยิ้มรึเปล่า ขั้นตอนแรกก็แก้ไขภายนอกให้ดูดีซะก่อนหลังจากนั้นมาดูสุขภาพภายใน โดยเฉพาะเรื่องการทานอาหารถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ถ้าเราเคยทานแต่ของที่ไม่มีประโยชน์ไม่ได้ใส่ใจกับอาหารมากนัก หรือว่าสนุกกับการทานอาหารจนเกินไปก็ปรับให้อยู่ในขั้นพอดีเดินทางสายกลางไม่มากและไม่น้อยเกินไป ทานให้ตรงเวลาและต้องเลือกรับประทานแต่อาหารที่ให้ทานเริ่มแระเลยคืออาหารหลัก 5 หมู่ เรียกว่า กินอย่างถูกหลักโภชนาการ ได้แก้โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ผัก ผลไม้ ไขมันจากพืช แต่อาหาร ในแต่ละหมู่ก็ต้องเลือกรับประทานอีกเช่นกัน เพื่อสุขภาพที่ดีเรามีโภชนาการบัญญัติ
9 ประการมาบอกกันดังต่อไปนี้
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ทานในแต่ละหมู่ให้หลากหลายชนิดสลับกันไปเพื่อความต้องการสารอาหารที่เพียงพอต่อร่างกายและไม่เกิดสารพิษสะสมในร่างกาย ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- รับประทานข้าวกล้องเป็นอาหารหลักสลับกับอาหารประเภทแป้งเป็นบางมื้อ
- รับประทานผักและผลไม้ให้มาก ผักครึ่งนึงอย่างอื่นครึ่งนึงร่างกายจะได้รับวิตามินเส้นใยอาหารและอาหารและสารป้องกันอนุมูลอิสระ อย่างเพียงพอเพื่อสุขภาพและผิวพรรณที่สดใส
- รับประทานปลายิ่งปลาทะเลน้ำลึกยิ่งดีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการล้างพิษได้ด้วยและรับประทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่และถั่วเป็นประจำ
- ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย เลือกดื่มนมไข่มันต่ำหรือนมถั่วเหลืองจะให้ประโยชน์มากและทำให้ประโยชน์มากและทำให้ไม่มีไขมันสะสม
- รับประทานอาหารที่มีไขมันแต่พอควร หรือเลือก รับประทานไขมันจากพืชแทนไขมันจากสัตว์ ลดการทานอาหารที่ปรุงแบบผัดและทอด เปลื่ยนมาเป็นปรุงอาหารด้วยวิธี ต้ม นึง อบ แทน
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสหวานจัดและเค็มจัด เผ็ดจัด เพื่อลดความเสี่ยงของโรคบางโรค
- กินอาหารที่สะอาดปราศจากสารปนเปื้อน เลือกซื้ออาหารปรุงสุก ใหม่ ๆ ถ้าปรุงอาหารรับประทานเองจะดีกว่าซื้อและควรล้างผักให้สะอาดก่อนนำมาปรุงอาหาร
- งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ กาเฟอีน เพราะบั่นทอนสุขภาพอย่างมาก
อาหารล้างพิษ
“อาหารล้างพิษ” หลานคนอาจมองข้ามหรือบางคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าอาหารสามารถล้างพิษได้ ก่อนอื่นควรทำความเข้าใจก่อนว่าในทางตรงกันข้ามอาหารทั่วไปนั้นโดยตัวมันเองแล้วบางชนิดก็มีพิษสะสมอยู่ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ อาทิมันสำปะหลัง ดิบ กลอย สารพาในปลาปักเป้าและในไข่ขาวดิบเป็นต้น ซึ่งมันสำปะหลังดิบนี้หากนำมาทำให้สุกจะอร่อยและปลอดภัยแต่ถ้าหากยังดิบๆ เมื่อเราผ่าออกมาแล้วสารประกอบทางเคมีที่มีอยู่ในตัวมัน เสื่อสัมผัสกับอาหารจะเกิดสารไซยาไนซ์ ซึ่งมีพิษร้ายแรงอาจถึงตายได้เมื่อเข้าสู้ร่างกาย ฉะนั้นก่อนที่จะนำมารับประทานก็ต้องทำให้สุกก่อนเพื่อกำจัดสารพิษออกไป แต่อาหารบางอย่างก็มีสารพิษติดมาจากกระบวนการผลิต เช่น ผัก ผลไม้ที่สวยๆส่วนใหญ่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงเพื่อไล่แมลงให้ผักและผลไม้สวยงาม แต่ยาฆ่าแมลงเหล่านั้นก็ปนเปื้อนอยู่ในผักผลไม้ด้วยเช่นกัน ก่อนจะเลือกผักผลไม้มาทานเราก็ควรล้างทำความสะอาดกำจัดสารพิษออกไป หรือวิธีการปรุงอาหารให้สุกโดยความร้อน ณ จุดเดือด 100 องศาเซลเซียส ขอให้สุกไว้ก่อนรับรองว่าปลอดภัยแน่นอน แต่ทางที่ดีเราก็ควรเลือกผักผลไม้ ที่ปราศจากสารพิษ เลือกรับประทาน ผัก ผลไม้ที่ปลูกโดยธรรมชาติ เรียกว่า ผักผลไม้ ปลอดสารพิษ ราคาจะแพงกว่าผัก ผลไม้ที่ปลูกโดยใช้ยาฆ่าแมลงเล็กน้อยแต่เพื่อสุขภาพที่ดีของเราก็ควรจะเลือกทานผักผลไม้ปลอดสารพิษจะดีกว่า
ในการปรุงอาหารก็มีข้อควรระวังอยู่บ้าง เช่น การทำให้สุกด้วยการย่างและปิ้ง วิธีนี้ต้องระวัง เพราะในอาหารบางชนิดหากทำให้สุกด้วยขั้นตอนเหล่านี้ก็จะกลายเป็นการเพิ่มสารพิษให้กับร่างกายได้ เพราะวิธีการปิ้ง-ย่างบนเตาควันโขมงนี้ ไขมัน จากเนื้อสัตว์ที่หยดลงไป เมื่อถูกเถ้าถ่านในเตาไฟก็จะทำปฏิกิริยาเกิดสารก่อมะเร็งที่ลอยขึ้นมาเกาะบนอาหารที่อยู่บนเตาได้นั่นเอง แต่คนสมัยก่อนก็ใช้ภูมิปัญญาในการป้องกันสารพิษเหล่านี้โดยการห่ออาหารที่ปิ้ง ย่าง ด้วยใบตอง นอกจากจะป้องกันสารพิษได้แล้วยังทำให้อาหารมีกลิ่นหอมน่ารับประทานขึ้นอีกด้วย
อาหารล้างพิษที่ดีต่อร่างกาย คือ ผักและผลไม้ ให้ทั้งวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่วิเศษกว่านั้นในผักและผลไม้ยังมี “กายใย” สูง กายใยนี้เป็นผนังเซลล์ของพืชที่กระเพาะไม่สามารถย่อยสลายได้ จึงทำให้กากใยสามารถผ่านเข้าไปทำความสะอาดอวัยวะส่วนต่างๆ ได้อย่างมิติดขัด ทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยอุ้มน้ำ เพิ่มความหนืดส่งผลต่อปริมาณอาหารที่ออกจากกระเพาะ ช่วยในการย่อยทำให้อาหารไม่ตกค้างอยู่ในกระเพาะ นอกจากนี้กากใยยังไวต่อการเกิดการหมักในลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่จำเป็นส่งผลให้ระบบขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทางทวารหนัก เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ผักและผลไม้จึงเปรียบเหมือนเทศบาล เมื่อผักและไม้ถูกกลืนเข้าสู้ร่างกายผ่านหลอดอาหาร กระเพราะอาหาร ระบบลำไส้จนถึงขั้นตอนขับถ่ายออกมานั้นในทุกกระบวนการอาหาร ที่มีกากใยสูงเหล่านี้จะช่วยเป็นไม้กวาดจัดการกักเศษอาหาร และสิ่งแปลกปลอมจ่างๆที่ตกค้าง ซึ่งหากหลีกเลี่ยงกากใยเหล่านี้แล้วเศษอาหารที่ถูกสะสมมาตลอดก็ยังคงตกค้างและอยู่กับเราไปตลอดถ้าปล่อยไว้จนเกาะติดแน่นตามอวัยวะต่างๆของระบบทางเดินอาหารก็จะกลายเป็นบ่อเกิดอาการผอดปกติ และโรคร้ายตามมาได้ในที่สุด
นอกจากเราจะทานอาหารเพื่อล้างพิษแล้วก็ต้องทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ด้วยเช่นกันรัยกว่า “ล้างพิษด้วยอาหาร 5 หมู่ ซึ่งประกอบด้วย โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ผักต่างๆ ผลไม้ และไขมัน อาหารทั้ง 5 หมู่ นี้สามารถล้างพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์แต่ก็ต้องรับประทานตามสัดส่วนที่เหมาสมกับช่วงวัยและกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์และปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เรามาทำความรู้จักกับอาหารล้างพิษทั้ง 5 หมู่กันดีกว่ามีอะไรบ้าง
ล้างพิษด้วยอาหาร 5 หมู่
- อาหารหมู่ที่ 1 โปรตีน – ประกอบด้วยอาหารจำพวก เนื้อสัตว์ ไข่ นม และถั่วต่างๆประโยชน์คือทำให้ร่างกาย เจริญเติบโตแข็งแรงมีภูมิต้านทานโรคนอกจากนี้ยังช่วยซ่อมแซมส่วน ต่างๆของร่างกาย ที่สึกหรอจากบาดแผล อุบัติเหตุหรือจากการเจ็บป่วยโปรตีนที่ช่วยล้างพิษ ได้แก่ ถั่วอัลฟัลฟาม, บราซิลนัต, ไข่, เนื้อแกะ, ปลาทะเลน้ำลึก
- อาหารหมู่ที่ 2 คาร์โบไฮเดรต – ประกอบด้วย ข้าว แป้ง น้ำตาล เผือก มัน ประโยชน์ ให้พลังงานแก่ร่างกายคาร์โบไฮเดรตที่ช่วยล้างพิษ ได้แก่ ข้าว, ข้าวฟ่าง, ควินาว, และอะมาแรนท์
- อาหารหมู่ที่ 3 ผักต่างๆ – ประกอบด้วย ผักต่างๆ เช่น ตำลึง ผักบุ้ง ผักตระกูล กะหล่ำ ประโยชน์ คือ มีวิตามินและเกลือแร่สูงช่วยเสริมสร้างทำให้ร่างกายแข็งแรงมีแรงต้านทาน เชื้อโรค และช่วยให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้อย่างเป็นปกติ ผักต่าง ๆ ที่ช่วยล้างพิษ ได้แก่ ผักตระกูลกะหล่ำ, กระเทียม, สาหร่ายทะเล, เตอรืเครส, หน่อไม้ฝรั่ง, อาร์ติโช้ค, แครอท, บีตรูต, มะเขือพวง, ตำลึง, ขึ้นฉ่าย, หัวหอม
- อาหารหมู่ที่ 4 ผลไม้ต่างๆ – เช่น มะละกอ แอปเปิล กีวี องุ่น ส้ม กล้วย ประโยชน์คือ วิตามิน และเกลือแร่สูงช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงมีแรงต้านทานโรคและมีกากอาหารช่วยทำให้การขับถ่ายของลำไส้เป็นปกติ
- อาหารหมู่ที่ 5 ไขมัน – ประกอบด้วย ไขมันจากสัตว์ ไขมันที่ได้จากพืชประโยชน์ คือ ไขมันให้พลังงานแก่ร่างกาย ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต
วิธีล้างพิษสำหรับผู้มีปัญหาสุขภาพ
สุขภาพร่างกายที่มีปัญหากับโรครุมเร้าต่าง ๆนานา บางคนก็เป็นโรคประจำตัวที่รักษาไม่หายกันมานานความผิดปกติของร่างกายบางอย่างก็ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีสาเหตุมาจากอย่างอื่นด้วย เช่น อาหารที่เรารับประทานเข้าไปหรือสภาพแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่อาจทำให้เกิด โรคภูมิแพ้ ไมเกรน เป็นต้น ดังนั้นเราควรหาวิธีแก้ ที่ต้นเหตุจะดีกว่า
จากการวิจัยหลายชิ้นพบว่า การล้างพิษสามรถบรรเทาอาหารเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะต้องลดปริมาณสารพิษที่เข้าสู้ร่างกายควรเน้นกำจัดเฉาะสารพิษที่ทำให้อาการเราแย่ลง งดอาหารบางประเภทที่ทำให้เกิดปัญหา เรียกว่า วิธีกำจัดอาหารเพื่อปฏิบัติตามวิธีการควรงดอาหารทุกชนิดที่ทำให้รู้สึกแย่ลงเป็นเวลา 2 อาทิตย์ แล้วค่อยกลับมาทานใหม่ทีละชนิดเป็นบางเวลา 2-3 วัน โดยช่วงนี้ให้กินอาหารให้มากขึ้นกว่าเดิม หากไม่มีอาการระคายเคืองหรือแพ้อีกแสดงว่าอาหารนั้นไม่ได้เป็นต้นเหตุ แล้วก็กลับมารับประทานได้ตามปกติ แต่หากเกิดอาการระคายเคืองขึ้นมาอีกแสดงว่าอาหารชนิดนั้นกระตุ้นให้เกิดอาการควรหลีกเลี่ยงที่จะรับประทานอาหารชนิดนั้นอีก
กรณีทดสอบแบบนี้เป็นการทดสอบสำหรับเกิดอาการแพ้ไม่มากถ้าเกิดแพ้อย่างรุนแรงต้องรีไปหาหมอจะดีกว่า
- อาการปวดศีรษะไมเกรน – อาหารที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการได้แก้ ไวน์แดง ข้าวโพด มะนาว ส้ม ข้าวสาลี กาแฟ ช็อกโกแลต ไข่ กล้วย ถั่วลันเตา อาหารบรรเทาอาการ รับประทานอาหารที่มีแมกนีเซียม แคลเซียม เส้นใยให้มาก และที่สำคัญทานอาหารให้ตรงเวลา
- อาการลำไส้แปรปรวน – อาหารที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการได้แก่ ชา กาแฟ ข้าวสาลี ไขมันต่าง ๆ นม ส้ม มะนาว อาหารบรรเทาอาการได้แก่ น้ำมันสะระแหน่
- โรคไขข้ออักเสบ – อาหารที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการได้แก่ กาแฟ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ส้ม มะนาว ข้าวโพด ข้าวสาลี มันฝรั่ง มะเขือเทศ อาหารบรรเทาอาการได้แก่ ไวน์ขาว และไวน์แดง
- อาการแพ้อากาศ – อาหารที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการได้แก่ มะเขือเทศ เมลอน พลัม แอปเปิ้ล ขึ้นฉ่าย แครอท อาหารบรรเทาการได้แก้ ปลาที่มีไขมันมาก หัวหอม ส้ม ชา มะนาว กระเทียม อาหารที่มีแมกนีเซียมสูง เพราะมีสารกระตุ้นอนุมูลอิสระเคอร์ซีทิน
- อาการก่อนมีประจำเดือน – อาหารที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการได้แก่ กาแฟ น้ำตาล แอลกอฮอล์ เกลือ ช็อกโกแลต อาหารบรรเทาอาการ ควรรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรสูง ๆ ทานครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ ช่วยลดความแปรปรวนของอารมณ์ และความหิว อาหารที่มีแมกนีเซียมสูงสมุนไพรแอ็กนัส คาสทัส ช่วยสร้างสมดุลให้กับฮอร์โมน
กลเม็ดเคล็ดลับการป้องกันโรค
คนเราทุกคนเกิดมาย่อมมีเจ็บไข้ได้ป่วย แต่จะป่วยมากหรือน้อยนั้นอยู่ที่การดูแลรักษาและทานอาหารอย่างถูกต้องหรือเปล่าแต่เมื่อเรามีปัญหาทางร่างกายเป็นโรค ต่าง ๆ เราจะมีวิธีรักษาไรอย่างไรนี่สิเรื่องที่สำคัญ ลองมาดูกันว่าหากเราเป็นโรคเราจะดูแลรักษาอย่างไร
- โรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูง – อาหารสำหรับคนที่เป็นโรคนี้ ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่ายแต่ต้องมีสารอาหารครบถ้วนรับประทานอาหารมื้อละน้อยโดยแบ่งเป็นหลาย ๆ มื้อ เพื่อให้ร่างกายย่อยได้หมด งด อาหารให้พลังงานสูง รับประทานเนื้อสัตว์ที่ให้โปรตีนปกติ
- ดื่มน้ำแต่พอควร การดื่มน้ำมากเกินไปบางคนคิดว่าทำให้การหมุนเวียนโลหิตดีซึ่งเป็นการเข้าใจผิดเพราะการดื่มน้ำมากจะไปเพิ่มปริมาณโลหิตทำให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้น
- เครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ ควรดื่มเล็กน้อยไม่ควรดื่มมาก สุรา ก็ดื่มได้เล็กน้อย
- ลดจำนวนเกลือ น้ำปลา ซอส หรือเครื่องจิ้มที่มีรสเค็ม
- รับประทานอาหารโดยไม่ต้องปรุง
- รับประทานไข่ต้มหรือไข่ตุ๋นโดยไม่ใส่เกลือ
- รับประทานผักต้มโดยไม่จิ้มน้ำพริกหรือเครื่องจิ้ม
- โรคมะเร็ง
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
- หลีกเสี่ยงการรับประทานอาหารจำพวกหมักดอง
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ผ่านการย่าง ปิ้ง (ด้วยเตาถ่าน)
- ไม่รับประทานอาหารปนเปื้อนเชื้อรา
- รับประทานผักและผลไม้สดทุกวัน
- โรคอ้วน
- งดรับประทานขนมหวานรวมถึงเครื่องดื่มที่มีรสหวานทุกชนิด
- รับประทานอาหารที่ไม่ใส่น้ำตาล
- ลดปริมาณอาหารจำพวกข้าวและปิ้ง
- งดรับประทานผลไม้ที่มีรสหวานจัด (ทุเรียน ขนุน)
- ลดอาหารประเภทที่มีไขมันทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ผัด ทอด อาหารใส่กะทิ อาหารที่ใส่นมหรือเนย
- รับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท
- ออกกำลังกายทุกวัน
- โรคเบาหวาน
- งดรับประทานอาหรจำพวกน้ำตาลทุกชนิด ได้แก่ น้ำตาลทราย น้ำตาลอัดก้อน น้ำตาลปีบ น้ำตาลกรวด น้ำผึ้ง น้ำตาลผลไม้
- งบรับประทานน้ำหวานทุกชนิด ได้แก่ น้ำหวานเข้มข้น น้ำผลไม้เข้มข้น น้ำอัดลม โอเลี้ยง น้ำผลไม้ผสม นมปรุงแต่งรส
- งดรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยน้ำตาล ได้แก่ ทอฟฟี่ ช็อกโกแลต นทข้นหวาน ผลไม้แช่อิ่ม ผลไม้กวน ผลไม้เชื่อมทุกชนิด แยม เยลลี่
- งดรับประทานขนมหวานจัด ได้แก่ ฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด สังขยา ขนมหม้อแกง ขนมเค้กที่แต่งหน้าครีม ไอศกรีม
- งดรับประทานผลไม้แห้งที่มีความหวานในตัว ได้แก่ ลำไยแห้ง ลิ้นจี่แห้ง อินทผลัม ลูกเกด กล้วยตาก ลูกพลับแห้ง
- งดรับประทานผลไม้ที่บรรจุกระป๋องทุกชนิด
- งดรับประทานผลไม้ที่มีรสหวานจัด ทุเรียน ขนุน องุ่น ลำไย อ้อย ละมุด
- งดรับประทานขนมปังหวาน ขนมปังไอศกรีม และคุกกี้
- งดดื่มเรื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์ สปาย
วิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน
ร่างกายของคนเราต้องได้รับวิตามินและเกลือแร่บ้างอย่าละเลยจนเกินไปยามที่ไม่สบายขึ้นมากว่าจะรักษาหายต้องใช้เวลาหลายวันทางที่ดีเราต้องดูแลสุขภาพของเราไห้ดีเสียก่อนและก็มีอีกหลายท่านที่ไม่รู้ว่า วันหนึ่งๆร่างกายของเราต้องการวิตามินและเกลือแร่เป็นจำนวนเท่าไหร่ หากไม่รู้ลองนำเอาตัวอย่างนี้ไปใช้เพื่อสุขภาพที่ดีและร่างกายที่สมบูรณ์
- วิตามิน A – 250 มิลลิกรัม แต่ถ้าอยู่ทางภาคเหนือที่มีอาหารหนาวควรทานเป็นสองเท่า
- วิตามิน B1 – 250 มิลลิกรัม วิตามินนี้ช่วยเพิ่มปริมาณเมตโบลิสม์ ของคาร์โบไฮเดรตให้เพิ่มมากขึ้น
- วิตามิน B2 – ในปริมาณ 50-100 มิลลิกรัม วิตามิน B2 มี 2 ชนิด เวลากินเข้าไปแล้วจะหน้าแดง
- วิตามิน B6 – ในปริมาณ 50-300 มิลลิกรัม
ทานอย่างไรให้คลายเครียดในแต่ละวัน ซึ่งพอจะแยกได้ตามช่วงวัยดังต่อไปนี้
- สำหรับผู้ใหญ่
- ควรรับประทานผักและผลไม้ให้มาก โดยรับประทานน้ำผลไม้วันละ 2 แก้ว ผักวันละ 2 ถ้วย และรับประทานผักและผลไม้ที่หลากหลายชนิดสับเปลื่ยนกันอยู่ตลอดเวลา
- ควรรับประทานธัญพืชวันละ 1 กำมือ เช่น ถั่วต่างๆ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดแตงโมอบแห้ง เป็นต้น
- ควรรับประทานนมพร่องมันเนยหรือผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนย หรือถ้าใครไม่ทานนม ก็ดื่มน้ำนมถั่วเหลืองแทน วันละ 3 แก้ว
- สำหรับเด็กและวัยรุ่น – สำหรับเด็กและวัยรุ่นต้องรับประทานธัญพืชบ่อย ๆ เด็กอายุ 2-8 ขวบควรจะดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 2 แก้ว เด็กมากกว่า 9 ขวบ ควรดื่ม 3 แก้ว
การทานอาหารมีความสำคัญพอ ๆ กับการเลือกที่จะทาน เราต้องทำความเข้าใจว่าวัยอย่างไรจะทานหารประเภทไหน และอาหารประเภทใดที่เราต้องหักห้ามใจไม่ทานประเภทที่ชอบเจอเป็นทานอย่างนี้เราต้องงดและหลีกเลี่ยงให้ได้ หากต้องการมีสุขภาพที่ดีและหลีกหนีความเครียด