ขาฉิ่งคืออะไร

“ขาฉิ่ง”  เป็นคำเรียกทั่วไปในภาษาไทยที่ใช้อธิบายลักษณะของขาที่โก่งเข้าด้านใน ซึ่งมีลักษณะดังนี้ คือ

  • เข่าชิดกันหรือชนกันเมื่อยืนตรง
  • ข้อเท้าแยกห่างออกจากกัน
  • ขาส่วนล่างมีลักษณะโค้งเข้าด้านใน

ในทางการแพทย์ ภาวะนี้เรียกว่า  “Knock knees” ในภาษาอังกฤษ

สาเหตุของขาฉิ่งมีหลายประการ ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้

  1. สาเหตุตามช่วงอายุ:
    • ในเด็ก: มักเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการปกติ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 2-7 ปี
    • ในวัยรุ่นและผู้ใหญ่: อาจเกิดจากปัจจัยอื่นๆ
  2. สาเหตุทางกายภาพ:
    • น้ำหนักตัวมากเกินไป ทำให้เกิดแรงกดที่ผิดปกติบนข้อเข่า
    • การบาดเจ็บที่ข้อเข่าหรือขา
    • ความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า
  3. โรคหรือภาวะทางการแพทย์:
    • โรคกระดูกอ่อน (Rickets) เนื่องจากการขาดวิตามินดี
    • โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ในเด็ก
    • ภาวะกระดูกพรุน
    • ความผิดปกติทางพันธุกรรมบางชนิด
  4. ปัจจัยทางโภชนาการ: การขาดแคลเซียมและวิตามินดี โดยเฉพาะในช่วงการเจริญเติบโต
  5. ปัจจัยอื่นๆ: เช่นการใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน ,ท่าทางการยืนหรือเดินที่ผิดปกติเป็นเวลานาน
  6. กรรมพันธุ์: บางครั้งอาจมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่ทำให้เกิดขาฉิ่งได้

สำคัญที่ต้องเข้าใจว่า ในเด็กเล็ก ขาฉิ่งมักเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการปกติและมักจะหายไปเองเมื่อโตขึ้น แต่หากพบในผู้ใหญ่หรือมีอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวิธีการรักษาที่เหมาะสม

อาการของขาฉิ่งมีหลายลักษณะ ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามความรุนแรงและสาเหตุ ดังนี้

  1. ลักษณะทางกายภาพที่สังเกตได้: เข่าชิดกันหรือชนกันเมื่อยืนตรง,ข้อเท้าแยกห่างออกจากกันขณะที่เข่าชิด ,ขาส่วนล่างโค้งเข้าด้านใน
  2. การเดิน: อาจเดินแบบเท้าบิดออก ,การเดินอาจดูงุ่มง่ามหรือไม่มั่นคง
  3. อาการปวด: อาจมีอาการปวดบริเวณเข่า โดยเฉพาะหลังจากยืนหรือเดินเป็นเวลานาน ,ปวดบริเวณสะโพกหรือข้อเท้าเนื่องจากการรับน้ำหนักที่ไม่สมดุล
  4. ความเหนื่อยล้า: อาจรู้สึกเหนื่อยง่ายเมื่อยืนหรือเดินเป็นเวลานาน
  5. ข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว: อาจมีข้อจำกัดในการวิ่งหรือกระโดด ,อาจมีปัญหาในการเล่นกีฬาบางประเภท
  6. การสึกหรอของรองเท้า: รองเท้าอาจสึกไม่เท่ากัน โดยเฉพาะด้านในของส้นรองเท้า
  7. ปัญหาทางจิตใจ: ในบางราย อาจส่งผลต่อความมั่นใจ โดยเฉพาะในวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่
  8. อาการแทรกซ้อนในระยะยาว: เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยอันควร,อาจเกิดอาการปวดหลังเนื่องจากการทรงตัวที่ผิดปกติ

อาการเหล่านี้อาจไม่ปรากฏทั้งหมดในทุกคน และความรุนแรงอาจแตกต่างกันไป หากสงสัยว่าตนเองหรือบุตรหลานมีภาวะขาฉิ่งและมีอาการที่รบกวนชีวิตประจำวัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการประเมินและคำแนะนำที่เหมาะสม

การรักษาขาฉิ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ ความรุนแรง และสาเหตุ วิธีการรักษามีดังนี้

  1. การเฝ้าสังเกตและรอ: สำหรับเด็กเล็ก มักรอให้เติบโตและแก้ไขเอง ซึ่งมักเกิดขึ้นภายในอายุ 7-8 ปี
  2. การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต: ลดน้ำหนักหากมีภาวะอ้วน ,รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีเพียงพอ
  3. การทำกายภาพบำบัด: ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาและเข่า ,ฝึกการทรงตัวและการเดินที่ถูกต้อง
  4. อุปกรณ์ช่วยพยุง: ใช้อุปกรณ์พยุงขาหรือเข่า ,รองเท้าพิเศษหรือแผ่นรองในรองเท้า
  5. การรักษาทางยา: ให้วิตามินและแร่ธาตุเสริมหากมีการขาด ,ยาแก้ปวดหากมีอาการปวด
  6. การผ่าตัด: พิจารณาในกรณีที่รุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่น วิธีการผ่าตัดมีหลายแบบ เช่น การตัดกระดูกเพื่อปรับแนว
  7. การใช้เครื่องมือพิเศษ: ในเด็ก อาจใช้แผ่นโลหะยึดกระดูกชั่วคราวเพื่อชะลอการเจริญเติบโตของกระดูกด้านในของเข่า
  8. การรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ: หากขาฉิ่งเกิดจากโรคอื่น เช่น โรคกระดูกอ่อน ต้องรักษาโรคนั้นด้วยการรักษาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล

การป้องกันขาฉิ่งสามารถทำได้หลายวิธี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กและวัยรุ่นที่กำลังเจริญเติบโต ดังนี้

  1. โภชนาการที่เหมาะสม: รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีอย่างเพียงพอ ,ดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์จากนมเป็นประจำ
  2. การออกกำลังกายสม่ำเสมอ: เน้นกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ เช่น การวิ่ง กระโดด หรือเล่นกีฬาที่มีการลงน้ำหนัก
  3. รักษาน้ำหนักให้เหมาะสม: ควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากเกินไป เพื่อลดแรงกดทับบนข้อเข่า
  4. ใส่รองเท้าที่เหมาะสม: เลือกรองเท้าที่มีการรองรับอุ้งเท้าที่ดี ,หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูงเป็นเวลานาน
  5. ฝึกท่าทางการยืนและเดินที่ถูกต้อง: สอนเด็กให้ยืนและเดินอย่างถูกวิธี , หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนในท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน
  6. ตรวจสุขภาพประจำปี: พบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพทั่วไปและการเจริญเติบโตของเด็ก
  7. รักษาสมดุลของร่างกาย: ฝึกการทรงตัวและความยืดหยุ่นของร่างกาย , ทำกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อ
  8. หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ: ระมัดระวังการบาดเจ็บที่ขาและเข่า โดยเฉพาะในเด็ก
  9. ให้ความรู้: สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาของร่างกายและความสำคัญของสุขภาพกระดูกและข้อ
  10. สังเกตพัฒนาการ: หากพบความผิดปกติในการเดินหรือยืนของเด็ก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมการป้องกันที่ดีที่สุดคือการดูแลสุขภาพโดยรวมและสังเกตพัฒนาการอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น