นิ่วในถุงน้ำดี เกิดจากอะไร?

นิ่วในถุงน้ำดีเกิดจากการตกตะกอนของสารต่างๆ ในถุงน้ำดี มักพบในผู้ที่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ร่างกายจะขับน้ำดีออกมาเพื่อช่วยย่อยไขมัน ซึ่งน้ำดีจะถูกผลิตจากตับและนำมาเก็บไว้ในถุงน้ำดี โดยตับได้ขับสารละลาย 3 อย่างออกมา ได้แก่ คลอเรสเตอรอล กรดน้ำดี และ ไขมันฟอสเฟต ถ้าผลิตมากเกินไปหรือเกินอัตราส่วนที่พอเหมาะ ทำให้ตกตะกอนกลายเป็นนิ่วในถุงน้ำดีเกิดขึ้นมาได้ มีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ๆ ขนาดเล็ก อาจมีได้ตั้งแต่ 1 ก้อน เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ แล้วแต่บุคคล

นิ่วในถุงน้ำดี มี 2 ประเภท ดังนี้

  1. ชนิดที่เกิดจากคลอเรสเตอรอล เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ลักษณะที่พบบ่อย เป็นก้อนสีขาว เหลือง หรือเขียว
  2. ชนิดที่เกิดขึ้นจากเม็ดสี บิลิรูบิน (สารให้สีในน้ำดี) เกิดขึ้นได้ผู้ที่เป็นโรคตับหรือโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย มีสีคล้ำและมีขนาดเล็กกว่าชนิดที่เกิดจากคลอเรสเตอรอล

ลักษณะอาการเมื่อเป็นนิ่วในถุงน้ำดี

  1. คลื่นไส้ อาเจียน
  2. มีอาการอาหารไม่ย่อย หลังรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
  3. มีอาการอาหารไม่ย่อยเรื้อรัง
  4. มักมีอาการท้องอืด แน่นท้อง
  5. ปวดบริเวณใต้ลิ้นปี่ หรือชายโครงด้านขวา
  6. ปวดร้าวบริเวณไหล่
  7. ปวดร้าวบริเวณหลังด้านขวา
  8. มีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง
  9. มีไข้ ไม่สบาย
  10. ปัสสาวะมีสีเข้ม

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี

นิ่วในถุงน้ำดีมักพบในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่จะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย 1-2 เท่า นอกจากนี้ยังสามารถพบได้สาเหตุอื่นๆ ดังนี้

  1. ผู้ที่มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
  2. ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
  3. ผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์หรือเป็นโรคอ้วน มีคอเลสเตอรอลสูง
  4. เกิดฮอร์โมนผิดปกติในผู้หญิงตั้งครรภ์
  5. การรับประทานยาคุมกำเนิดอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน

นิ่วในถุงน้ำดีในปัจจุบันยังไม่มีการรักษานิ่วในถุงน้ำดีด้วยวิธีการทานยาหรือการสลายนิ่ว การรักษานิ่วในถุงน้ำดีที่ดีที่สุดคือ การผ่าตัดส่องกล้องนิ่วในถุงน้ำดี ด้วยเทคโนโลยีการผ่าตัดแบบส่องกล้อง จะทำให้แผลมีขนาดเล็ก เจ็บน้อย และสามารถฟื้นตัวได้ไว