ช่วงเดือนพฤษภาคม ของทุกปีจะเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งเป็นฤดูกาลแห่งความชุ่มฉ่ำจะยาวนานไปจนถึงเดือนตุลาคม  ฝนตกทีไรก็จะมีน้ำท่วมขังตามมาทุกครั้ง ซึ่งเราจำเป็นต้องมีความรู้เพื่อเตรียมตัวรับมือกับ โรคที่มาจากน้ำท่วม

 

เรามาดูกันเลยนะคะ โรคที่มาจากน้ำท่วม มีอะไรกันบ้าง มีสาเหตุ และอาการอย่างไร จะมีวิธีป้องกันไม่ให้เกิดโรคอย่างไรได้บ้าง

           

            1.โรคผิวหนัง

โรคผิวหนังที่พบได้บ่อย ได้แก่ โรคน้ำกัดเท้าจากเชื้อรา หรือฮ่องกงฟุต  แผลพุพองเป็นหนอง ซึ่งเกิดจากการย่ำน้ำหรือแช่น้ำที่มีเชื้อโรค หรือเสื้อผาสกปรก  มีความอับชื้น

            อาการ

  • ในระยะแรกมีอาการเท้าเปื่อยและเป็นหนอง
  • ต่อมาเริ่มมีอาการคันตามซอกนิ้วเท้า และผิวหนังลอกออกเป็นขุย มีผื่น
  • ระยะหลังๆ ผิวหนังที่เท้าเกิดพุพอง นิ้วเท้าหนาและแตก อาจเกิดโรคแทรกซ้อน คือ ผิวหนังอักเสบได้

            การป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงการย่ำน้ำโดยไม่จำเป็น
  • ถ้าจำเป็นต้องย่ำน้ำ ควรใส่รองเท้าบู๊ทกันน้ำ และควรล้างเท้าให้สะอาดด้วยน้ำสบู่และเช็ดให้แห้ง
  • สวมใส่ถุงเท้า รองเท้า และเสื้อผ้าที่สะอาดไม่เปียกชื้น
  • ถ้ามีแผลให้เช็ดรอบแผลด้วยแอลกอฮอล์ แล้วทาแผลด้วย เบตาดีน

 

โรคระบบทางเดินหายใจ

            2.ไข้หวัด

เป็นโรคติดต่อที่ไม่อันตราย และพบได้บ่อยช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง  สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย  โดยเชื้อโรคจะแพร่กระจายมาจากน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ หรือสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วย

            อาการ

  • มีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยตามตัว
  • มีไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกใสๆ
  • ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาการ

 

            3.ไข้หวัดใหญ่

            อาการ

  • มีไข้สูง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
  • ปวดเมื่อยตามตัวมาก
  • มีไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกใสๆ

            การปฏิบัติตัว

  • เวลาไอ จาม ให้ใช้ผ้าปิดปากและจมูก
  • สวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่น
  • ไม่สั่งน้ำมูกแรงๆเพราะจะทำให้เกิดหูอักเสบได้
  • ทานอาหารอ่อนย่อยง่าย กินผัก ผลไม้ และดื่มน้ำอุ่นเยอะๆ
  • อาบน้ำแล้วเช็ดตัวให้แห้งทันที
  • ปกติมักจะหายเองภายใน 1 สัปดาห์ ถ้ามีไข้สูง ไอ เจ็บคอ เจ็บหน้า นานเกิน 7 วันหรือมีอาการผิดปกติอื่นๆให้ไปพบแพทย์

 

            4.โรคตาแดง

            เป็นโรคติดต่อได้ง่ายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัส แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรกๆ อาจติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ การติดต่อเกิดจากการสัมผัสกับน้ำตา ขี้ตา น้ำมูกของผู้ป่วย  หรือการใช้สิ่งของเครื่องใช้กับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า  ผ้าเช็ดตัว หรือจากแมลงวันแมลงหวี่ตอมตา

            อาการ

  • จะเริ่มมีการระคายเคืองตา ปวดตา น้ำตาไหล กลัวแสง มีขี้ตามาก หลังตาบวม เยื่อบุตาขาวอักเสบบวมแดง

            การปฏิบัติตัว

  • เมื่อมีฝุ่นละอองหรือน้ำสกปรกเข้าตา ให้รีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที
  • เมื่อมีอาการของโรค ให้ไปพบแพทย์เพื่อรับยาหยอดตาหรือป้ายตาป้องกันภาวะแทรกซ้อน
  • หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสบู่บ่อยๆ
  • ไม่ควรขยี้ตา อย่าให้แมลงตอมตา
  • ผูุ้ป่วยควรนอนแยกจากคนอื่นๆ และไม่ใช้สิ่งของต่างๆร่วมกันและไม่ควรไปที่มีคนมากๆ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคแพร่กระจาย
  • ถ้ามีอาการปวดตารุนแรง ตาพร่ามัว หรืออาการไม่ทุเลาภายใน 1 สัปดาห์ต้องรีบพบแพทย์อีกครั้ง

 

            5.โรคติดเชื้อทางเดินอาหาร

            ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง อหิวาตกโรค อาหารเป็นพิษ บิด ตับอักเสบเอ และไข้ทัยฟอยต์หรือไข้ลากสาดน้อย  เชื้อจะเข้าสู่ร่างกาย โดยการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป เช่น อาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ อาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารที่ทิ้งค้างคืนโดยไม่ได้แช่เย็น และไม่ได้อุ่นให้ร้อนก่อนรับประทานอาหาร

            อาการ

  • โรคอุจจาระร่วง มีอาการถ่ายเหลว หรือถ่ายมีมูกเลือด อาจมีอาเจียนร่วมด้วย หากมีอาการรุนแรง ถ่ายเป็นน้ำคล้ายน้ำซาวข้าวคราวละมาก เรียกว่า อหิวาตกโรค
  • อาหารเป็นพิษ มีอาการปวดท้อง ร่วมกับถ่ายอุจจาระเหลว มีคลื่นไส้ อาเจียน อาจจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว
  • โรคบิด จะมีอาการถ่ายอุจจาระบ่อย อุจจาระจะมีมูกหรือมีมูกปนเลือด มีไข้ ปวดท้องและมีอาการปวดเบ่งร่วมด้วย
  • ไข้ไทฟอยด์หรือไข้รากสาดน้อย มีอาการทีสำคัญคือ มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร อาจจะมีอาการท้องผูกหรือบางรายอาจจะมีท้องเสียได้

            การปฏิบัติตัว

  • ให้ดื่มน้ำหรือเกลือแร่บ่อยๆ เพื่อทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไปจากการขับถ่าย ถ้าไม่มีเกลือแร่สำเร็จรูปสามารถเตรียมเกลือแร่เองได้ โดยผสมน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ กับเกลือป่นครึ่งช้อนชา ละลายในน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว 750 มิลลิลิตร
  • หากมีอาการมากขึ้น เช่น กินอาหารไม่ได้ มีอาเจียนตลอด ไข้สูง ซึม หรือชัก ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว
  • เด็กที่ดื่มนมแม่ให้ดื่มต่อได้ตามปกติ พร้อมป้อนน้ำเกลือแร่บ่อยๆ
  • เด็กที่ดื่มนมชง ให้ผสมนมจางลงครึ่งหนึ่งของที่เคยดื่ม และให้ดื่มสารละลายเกลือแร่สลับกันไป
  • ไม่ควรกินยาเพื่อหยุดถ่าย เพราะจะทำให้เชื้อโรคค้างอยู่ในร่างกาย ซึ่งจะเป็นอันตรายมากขึ้น

            การป้องกัน

  • ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสะอาดและสบู่ทุกครั้งก่อนเตรียมและปรุงอาหาร ก่อนกินอาหารและหลังขับถ่าย
  • ทานอาหารสะอาดและปรุงสุกใหม่ๆ ดื่มน้ำที่สะอาด
  • กำจัดสิ่งปฏิกูล ขยะมูลฝอย เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธ์ของแมลงวัน

 

            6.โรคไข้เลือดออก

            โรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อ มียุงลายเป็นพาหะ เวลาฝนตกมีน้ำขังจะเป็นแหล่งเพาะพันธ์ของลูกน้ำยุงลายได้ดี  ถ้ายุงลายที่มีเชื้อไข้เลือดออกกัดจะทำให้เราเกิดโรคไข้เลือดออกได้

            อาการ

  • ไข้สูงลอยประมาณ 2-7 วัน
  • ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว หน้าแดง อาจมีจุดแดงเล็กๆ ตามลำตัว แขนขา
  • มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องและเบื่ออาหาร
  • ต่อมาไข้จะเริ่มลง ในระยะนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจมีอาการรุนแรง โดยผู้ป่วยจะมีอาการกระกระส่าย มือเท้าเย็น หรือมีเลือดออกผิดปกติ เช่น ถ่ายดำ ไอปนเลือด อาจมีภาวะช็อคและเสียชีวิตได้

           การปฏิบัติตัว

  • ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที
  • ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวลดไข้
  • ให้ยาลดไข้พาราเชตามอล ห้ามใช้ยาแอสไพรินเพราะจะทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
  • ให้ดื่มน้ำผลไม้ หรือน้ำตาลเกลือแร่บ่อยๆ

 

            7.โรคฉี่หนู

            โรคฉี่หนู หรือโรคเลปโตสไปโรซีส  มีหนูเป็นตัวแพร่เชื้อโรค โดยเชื้อจะออกมาจากปัสสาวะของหนูแล้วจะขังอยู่ในน้ำหรือ พื้นดินที่ชื้นและแฉะ

            การติดต่อ

  • เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล รอยถลอก เยื่อบุตา จมูก ปาก  หรืออาจติดเชื้อจากการรับประทานอาหารที่หนูฉี่รด

            อาการ

  • หลังได้รับเชื้อ 4-10 วันจะมีอาการ ไข้สูงทันทีทันใด ปวดศีรษะ และปวดกล้ามเนื้อมากโดยเฉพาะน่องและโคนขา หรือปวดหลัง
  • บางคนจะมีอาการตาแดง อาจมีอาการเจ็บคอ เบื่ออาหาร หรือท้องเสีย
  • ถ้าไม่ได้รับการรักษา บางรายอาจมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง ไอมีเลือดปน หรือ ตา ตัว เหลือง ปัสสาวะน้อย ซึม สับสน

            การป้องกัน

  • เวลาเดินลุยน้ำ ย่ำโคลน ให้สวมรองเท้าบู๊ทยางกั้นนำ้ เมื่อขึ้นจากน้ำแล้วให้ล้างเท้าและรีบอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดโดยเร็วที่สุด
  • ไม่แช่น้ำหรือย่ำโคลนนานๆ
  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุกทันที และเก็บอาหารในภาชนะที่มิดชิด
  • ดูแลที่พักอาศัยให้สะอาด ไม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของหนู
  • เก็บกวาดและทิ้งขยะให้มิดชิดไม่ให้เป็นแหล่งอาหารของหนู

 

ทั้ง 7 โรคที่มากับน้ำท่วมเป็นโรคที่ประชาชนควรระวังเป็นอย่างยิ่ง หรือแม้แต่พื้นที่ที่ยังไม่ประสบภัยก็ควรรู้ไว้ เพื่อจะได้มีความรู้ในการดูแลสุขภาพของตนเอง และป้องกันไม่ให้เกิดโรค