เบาหวานขึ้นจอตา (Diabetic Retinopathy) คือภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานที่ส่งผลต่อหลอดเลือดฝอยเล็กๆ ในจอประสาทตา เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติเป็นเวลานาน จะทำให้ผนังหลอดเลือดในจอตาเสื่อม เกิดการรั่วซึม บวม หรืออุดตัน จนกระทบกับการมองเห็นในที่สุด

สาเหตุของโรคเบาหวานขึ้นจอตา

ต้นเหตุหลักคือ “ระดับน้ำตาลในเลือดที่ควบคุมได้ไม่ดี” เมื่อปล่อยไว้โดยไม่จัดการ น้ำตาลจะทำลายผนังหลอดเลือดตา เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบไหลเวียนเลือด เช่น เลือดออกในจอประสาทตา หลอดเลือดอุดตัน หรือเกิดหลอดเลือดผิดปกติขึ้นใหม่ที่อ่อนแอและแตกง่าย

ความรุนแรงของโรคแบ่งเป็นกี่ระดับ?

โรคเบาหวานขึ้นจอตาแบ่งออกเป็น 2 ระยะใหญ่ และแต่ละระยะมีความรุนแรงแตกต่างกัน ดังนี้:

1. Non-Proliferative Diabetic Retinopathy (NPDR) – ระยะยังไม่งอกหลอดเลือดใหม่

เป็นระยะเริ่มต้น แบ่งย่อยได้อีก 3 ระดับ ได้แก่

  • ระยะเล็กน้อย: เริ่มมีจุดเลือดออกเล็กๆ หรือรั่วซึมจากหลอดเลือด
  • ระยะปานกลาง: เส้นเลือดเริ่มอุดตัน และมีการรั่วซึมมากขึ้น
  • ระยะรุนแรง: เส้นเลือดจำนวนมากอุดตัน และจอตาเริ่มขาดออกซิเจน

2. Proliferative Diabetic Retinopathy (PDR) – ระยะที่มีการงอกของหลอดเลือดใหม่

เป็นระยะอันตรายที่สุด เพราะจอตาจะพยายามสร้างหลอดเลือดใหม่เพื่อชดเชยการขาดออกซิเจน แต่หลอดเลือดใหม่นี้เปราะบาง แตกง่าย ทำให้เกิดเลือดออกในน้ำวุ้นตา หรือเกิดพังผืดดึงรั้งจนจอตาหลุดลอก

มีโอกาสรักษาหายหรือไม่?

โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้ “หายขาด” ได้ แต่สามารถควบคุมและชะลอความรุนแรงได้ หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และควบคุมระดับน้ำตาล ความดันโลหิต และไขมันในเลือดอย่างเข้มงวด รวมถึงการเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เช่น

  • เลเซอร์จอตา (Laser photocoagulation)
  • ฉีดยาต้านหลอดเลือดผิดปกติ (Anti-VEGF)
  • ผ่าตัดน้ำวุ้นตา (Vitrectomy) ในกรณีที่มีเลือดออกมากหรือจอตาหลุดลอก

จะตาบอดหรือไม่?

หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ระยะ PDR ผู้ป่วยมีความเสี่ยง “ตาบอดถาวร” ได้สูง แต่ถ้าได้รับการดูแลและรักษาอย่างถูกต้อง โอกาสป้องกันการสูญเสียการมองเห็นยังมีอยู่มาก

สรุปความต่างระหว่าง NPDR และ PDR อย่างชัดเจน

  • NPDR: ยังไม่มีหลอดเลือดใหม่ แต่มีเลือดออกและของเหลวรั่วในจอตา
  • PDR: มีการสร้างหลอดเลือดใหม่ที่ผิดปกติ เสี่ยงต่อการแตกและทำให้ตาบอด

หากคุณหรือคนใกล้ชิดเป็นเบาหวาน ควรเข้ารับการตรวจจอประสาทตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แม้จะไม่มีอาการใดๆ เพื่อป้องกันและชะลอการสูญเสียการมองเห็นก่อนสายเกินไป