“คนไทยถูกตัดขา 40,000 คนต่อปี จากโรคเบาหวาน”
โรคเบาหวานเป็นสาเหตุหนึ่งของการปวดขา
เรามักเข้าใจกันว่าอาการปวดน่อง ปวดขา หรือปวดบริเวณเท้า เกิดจากสาเหตุของโรคในระบบกระดูกและข้อ หรือโรคของระบบบริเวณประสาท และบางคนคิดว่าเป็นอาการปกติของผู้สูงอายุ
…จริงแล้ว… อาการปวดน่อง ปวดขา โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานเป็นอาการเตือนที่สำคัญ ที่บอกว่าท่านเป็นโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีนตัน โดยอาการจะเป็นมากขึ้นเวลาที่เดินหรือออกกำาลังกาย หากไม่ดูแลและรักษาตั้งแต่เริ่มแรก อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านต้องสูญเสียขาในอนาคต
โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบตัน
หากจะเปรียบเทียบไปแล้ว หลอดเลือดก็จะเหมือนท่อประปา เมื่อใช้งานไปนานๆจะมีตะกรันเกิดขึ้นในท่อน้ำ เมื่อมีการสะสมนานวันและมากขึ้นก็จะทำให้ขนาดของท่อประปาแคบลง น้ำที่เคยไหลได้ดีก็จะเปลี่ยนเป็นไหลกะปริดกะปรอย ตะกรันในท่อประปาที่ว่าก็คือ ลิ่มไขมันในหลอดเลือด เมื่ออายุมากขึ้นจะมีการสะสมของลิ่มไขมันและหินปูนแคลเซียมตามผนังหลอดเลือดมากขึ้น และเกิดมีการตีบตันในที่สุด ทำให้เลือดไม่สามารถผ่านไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่ขาได้เพียงพอ จึงทำให้มีอาการเจ็บหรือปวดขาเวลาที่เดิน
สาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบตัน
- โรคเบาหวาน
- สูบบุหรี่
- ระดับไขมันในเลือดสูง
- ความดันโลหิตสูง
- อายุมาก (40 ขึ้นไป)
- ขาดการออกกำลังกาย
- มีประวัติญาติหรือบุคคลในครอบครัวที่เป็นโรคหลอดเลือด
- การรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว หรือโคเลสเตอรอลสูง เช่น ไขมันสัตว์ เครื่องในสัตว์ ปลาหมึก กุ้ง
อาการ
- ปวดขา ปวดน่อง หรือปวดเท้า โดยเฉพาะเวลาเดินหรือออกกำลังกาย
- เท้ามีอาการชา หรือสีซีด คล้ำลง (เหมือนขาดเลือด) ในบางรายอาจมีอาการเย็นที่เท้า
- แผลที่เท้า หรือนิ้วท้าที่รักษายาก หายช้า มักพบในผู้ที่มีโรคเบาหวานประจำตัว บางครั้งแผลลุกลามจนเกิดเน่า เกิดแผลเนื้อตายจนไม่สามารถรักษาได้ สุดท้ายเกิดการติดเชื้อ และต้องสูญเสียขา โดยการตัดขา
เราจะตรวจโรคนี้ได้อย่างไร
การวินิจฉัยโรคนี้มีหลายวิธี แต่วิธีที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางโดยแพทย์ทั่วโลกและเป็นวิธีที่สะดวก ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ความแม่นยำสูง และไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บ คือการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า ABI
ABI (Ankle-Branchial Index)
- การตรวขด้วยเครื่อง ABI คือ การวัดความดันของหลอดเลือดแดงที่แขน เปรียบเทียบกับข้อเท้า ค่าที่ออกมาแสดงให้เห็นว่าการไหลเวียนของกระแสเลือดทั่วร่างกายนั้นมีแรงดันเท่ากันหรือไม่
- ในกรณีของคนปกติ ค่าที่ออกมาจะเท่ากับ 1.0 หรือมากกว่า คือ การไหลเวียนของประแสเลือดเท่ากันทั่วร่างกาย
- ในกรณีผิดปกติ ค่าออกมาจะน้อยกว่า 1.0 และจะผิดปกติรุนแรงกมากขึ้นถ้าค่าต่ำกว่า 1.0 มากๆ เช่น 0.4 รุนแรงกว่า 0.7
- ความรุนแรงของโรคสัมพันธ์กับระยะเวลาในการวินิจฉัย คือยิ่งคุณทราบว่าเป็นโรคหลอดเลือดตีบตันเร็ว ความรุนแรงของโรคมักจะน้อยกว่าเมื่อทราบภายหลัง และแพทย์จะสามารถรักษาโรคของคุณได้ง่ายและเร็วขึ้น
การป้องกัน
- หยุดสูบบุหรี่
- ควบคุมเบาหวาน ไขมัน และความดันโลหิต
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3-4 วัน
วิธีการป้องกัน
- รับประทานยาละลายเกล็ดเลือดและยาขยายหลอดเลือดที่ขา ร่วมกับการออกกำลังกาย
- การผ่าตัดบายพาส เพื่อเชื่อมต่อหลอดเลือด วิธีนี้วิธีใช้กับผ้ป่วยที่มีอาการของโรครุนแรงมาก ผู้ป่วยได้รับการวางยาสลบและไม่รู้สึกตัวระหว่างการรักษา หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บแผลผ่าตัด และใช้เวลาในการพักฟื้นนาน
- การขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนและขดลวด (Stent) เป็นวิธีการรักษาที่ผู้ป่วยเจ็บตัวน้อยกว่า โดยแพทย์ใช้เครื่องมือที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5 มม. สอดผ่านเข้าทางหลอดเลือดเพื่อทำการรักษา ผู้ป่วยรู้ตัวตลอดการรักษา สามารถกลับบ้านได้ภายใน 1-2 วัน ใช้เวลาในการพักฟื้นสั้น และได้ผลในการรักษาเช่นเดียวกัน