โรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder) ไม่ได้เกิดจากความอ่อนไหวหรืออารมณ์แปรปรวนเพียงชั่วครู่ หากแต่เป็นผลลัพธ์ของความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง เช่น เซโรโทนิน (Serotonin), โดปามีน (Dopamine) และ นอร์เอพิเนฟรีน (Norepinephrine) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกกระตือรือร้น และความสามารถในการรับมือกับความเครียด
เมื่อสมดุลเหล่านี้เสียไป ความเศร้าที่เคยมาเยือนเพียงชั่วคราว ก็เริ่มฝังรากลึก กลายเป็นภาวะที่ค่อยๆ ขโมยพลังชีวิตไปโดยที่เราแทบไม่รู้ตัว
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า เป็นโรคซึมเศร้า
ลองสำรวจตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้ หากมีอาการ ต่อเนื่องทุกวันเกือบทั้งวัน เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ อาจเป็นสัญญาณของโรคซึมเศร้า
- รู้สึกเศร้า หดหู่ หรือว่างเปล่าเกือบตลอดเวลา
- เบื่อ ไม่อยากทำอะไร แม้แต่สิ่งที่เคยชอบ
- น้ำหนักลดหรือเพิ่มอย่างผิดปกติ เบื่ออาหารหรือกินมากกว่าปกติ
- นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินไป
- รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรงแม้แต่ลุกจากเตียง
- รู้สึกตัวเองไร้ค่า โทษตัวเองอยู่เสมอ
- ไม่มีสมาธิ หงุดหงิดง่าย หรือทำอะไรช้าลง
- มีความคิดเกี่ยวกับความตาย หรืออยากหายไป
อาการแบบไหน ควรไปพบจิตแพทย์
- มีอาการข้างต้น มากกว่า 5 ข้อ ต่อเนื่องนานเกิน 2 สัปดาห์
- อาการส่งผลต่อ การทำงาน การเรียน หรือความสัมพันธ์
- รู้สึก หมดหวังต่อชีวิต หรือมีความคิดอยากตาย
- นอนไม่หลับติดต่อกันหลายวัน หรือรู้สึกไม่อยากใช้ชีวิต
- คนรอบข้างสังเกตว่า “เปลี่ยนไป” อย่างเห็นได้ชัด เช่น เงียบลง หายไปจากสังคม
ทำไมควรพบแพทย์
โรคซึมเศร้าเป็น “โรคที่รักษาได้” หากได้รับการวินิจฉัยและดูแลอย่างเหมาะสม ทั้งการใช้ยา การทำจิตบำบัด และการปรับพฤติกรรม คุณไม่จำเป็นต้องเผชิญกับมันคนเดียว