โรคตุ่มน้ำพอง หรือโรคภูมิเพี้ยน เกิดขึ้นจากภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติที่แสดงออกทางผิวหนังอย่างรุนแรง มักพบได้ทั้งเพศชายและเพศหญิงในอายุเฉลี่ย 50 – 60 ปี โรคตุ่มน้ำพองที่เกิดจากภูมิคุ้มกันจะมีลักษณะผิวหนังจะเป็นตุ่มพองน้ำ พบได้ไม่บ่อยมาก สาเหตุมาจากระบบภูมิคุ้มกันทำลายโครงสร้างที่ทำหน้าที่ยึดเซลล์ผิวหนัง จึงทำให้ผิวหนังหลุดออกจากกัน และกลายเป็นตุ่มน้ำหรือแผลถลอก หรือจากการติดเชื้อ การแพ้ยา แพ้สารเคมี เป็นต้น

 

อาการของโรคตุ่มน้ำพอง

ตุ่มพองที่ผิวหนัง ขนาดแตกต่างกัน อาจมีตุ่มพองแผลที่บริเวณเยื่อบุต่างๆ เช่น ในปาก ทางเดินหายใจ อวัยวะเพศร่วมด้วย เมื่อตุ่มแตก ก็จะเจ็บมาก ผู้ป่วยที่มีอายุมากขึ้นในอายุ 50 – 60 ปี จะเกิดจากความผิดปกติที่ชั้นผิวหนังกำพร้าในผิวหนังชั้นตื้น โดยลักษณะแผลจะเหมือนถูกน้ำร้อนลวกเป็นบริเวณวงกว้าง ซึ่งแผลอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นหนอง ถ้ารุนแรงก็จะเกิดติดเชื้อในกระแสเลือด มีไข้ และเสียชีวิตได้

 

ตำแหน่งที่พบบ่อย 

  • ศีรษะ
  • หน้าอก
  • หน้าท้อง
  • บริเวณที่ผิวหนังเสียดสีกัน

 

การดูแลโรคตุ่มน้ำพอง

  1. พบแพทย์สม่ำเสมอ ห้ามหยุดยาหรือปรับขนาดยาเอง ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
  2. ดูแลบาดแผล ล้างแผลด้วยน้ำเกลือ และแผลที่ติดเชื้อ ด้วยเบตาดีน ชำระล้าง ทำความสะอาดร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่แกะเกาผื่นแผล ไม่พอกยาสมุนไพรหรืออื่นๆเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่แผล
  3. ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ควรหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคติดเชื้อ และไม่ไปในสถานที่แออัด แหล่งชุมชน เพราะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
  4. สวนใส่เสื้อผ้าที่นุ่มสบาย สะอาด อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป
  5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เหมาะสม ไม่หนักเกินไป
  6. นอกพักผ่อนให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมง
  7. รับประทานอาหารที่สุกสะอาด อาหารอ่อนย่อยง่ายรสไม่จัด งดเนื้อ นม ไข่ กิน ผัดหลากสี มากกว่า 30 ชนิด ถั่ว เห็ด เครื่องเทศ
  8. หลีกเลี่ยงผักดิบ ผลไม้ควรปอกเปลือกก่อนรับประทาน
  9. สังเกต หากมีอาการปวดท้องอุจจาระดำ อาเจียนเป็นเลือด ไข้สูง ไอ ปัสสาวะแสบขัด ควรรีบพบแพทย์
  10. คุมกำเนิด หลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ เนื่องจากยาที่ใช้ควบคุมโรคอาจมีผลต่อทารกในครรภ์
  11. หลีกเลี่ยงแสงแดด และความเครียด

 

การรักษา

1.การรักษาด้วยยา

รักษาด้วยยา เพรดนิโซโลน (prednisolone) ซึ่งจะเริ่มให้ยาด้วยขนาดสูงเพื่อให้คุมโรคได้ก่อน แล้วจึงปรับลดขนาดยาลง การรักษาด้วยวิธีการให้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อควบคุมโรค โดยต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาและผู้ป่วยต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง

 

2.การรักษาด้วยการถ่ายเลือด Double Filtration Plasmapheresis (DFPP)

 หรือการ D-Tox เลือด DFPP เป็นกระบวนการกรองน้ำเลือด หรือ พลาสมา  เพื่อนำพลาสมาที่ไม่ดีออกจากร่างกาย โดยการแยกภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติแล้วก่อให้เกิดโรคออกไป เก็บเม็ดเลือดที่ดีก็ส่งคืนกลับสู่ร่างกาย พร้อมกับชดเชยส่วนของพลาสมา ด้วยโปรตีน Albumin

 

ขั้นตอนการทำ D-Tox เลือด

  1. วัดสัญญาณชีพ
  2. พบแพทย์เฉพาะทางอายุรกรรมโรคไตเพื่อปรึกษาและตรวจสุขภาพ
  3. เจาะเลือดบริเวณข้อพับแขน โดยผลเลือดจะใช้ระยะเวลาตรวจ 1.30 ชม.
  4. ขณะทำการดึงเลือด ต้องไม่งอแขนทั้ง 2 ข้าง โดยวางแขนในท่าเหยียดนาบไปกับลำตัว หากมีอาการปวดเมื่อย คัน เจ็บ จะมีพยาบาลอยู่ข้างเตียงสามารถแจ้งให้ช่วยเหลือทันที
  5. การ D-Tox เลือดจะใช้เวลาในการทำประมาณ 1.30 – 3 ชม. ขึ้นอยู่กับการไหลเวียนของเลือของแต่ลุบุคคล

  

ข้อดีของการทำ Plasmapheresis ( D-Tox เลือด )

ถ้าร่างกายผู้ป่วยตอบสนองต่อการรักษาได้ดี อาจจะทำให้ฟื้นตัวได้เร็ว ลดความรุนแรงของโรคลงได้ดีเนื่องจากเป็นการนำเอาสารตั้งต้น ที่ทำให้เกิดโรคออกไปได้โดยตรง ความต่อเนื่องของการทำซ้ำจะขึ้นอยู่กับอาการของโรค แต่โดยส่วนมาก ผู้ป่วยมักจะตอบสนองต่อการรักษาดี เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3-5 ครั้ง ภายใน 2-4 สัปดาห์ หลังจากทำแล้วสามารถกลับบ้านได้ ไม่จำเป็นต้องนอนที่โรงพยาบาล

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

คุณปรียาลักษณ์
หัวหน้าแผนกผู้ป่วยนอกอายุรกรรม
โทร. 096-932-5936