มีญาติผู้ป่วย เล่าให้หมอฟังว่า “คนไข้บ่นจุกแน่นหน้าอกมาตั้งแต่เมื่อคืน เย็นนี้เข้าห้องน้ำ จู่ๆ ก็เป็นลมหมดสติฟุบคาห้องน้ำ…”
คนไข้เป็นผู้หญิงอายุ 50 ปีเศษ เป็นโรคความดันเลือดสูงมาร่วม 10 ปี แต่รักษาตัวไม่สม่ำเสมอ จะแวะมาหาหมอเฉพาะเวลารู้สึกปวดศีรษะ ถ้าช่วงไหนรู้สึกสบายดีก็ไม่ยอมมารับยา ทั้งๆ ที่หมอกำชับนักกำชับหนาว่า
“โรคนี้ จะไม่แสดงอาการ ทั้งๆ ที่ความดันขึ้นสูง ผู้ป่วยก็อาจรู้สึกสบายดี ดังนั้นต้องหมั่นมาให้หมอตรวจและกินยาอย่าได้ขาด หากขาดการรักษานานๆ ก็อาจเกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรงได้…”
ผู้ป่วยรับคำ แต่ก็จะเงียบหายไปประมาณ 4-5 เดือนจึงจะแวะมาที ผู้ป่วยจึงขาดยามากกว่าได้ยารักษา
พอหมอมาถึงบ้านผู้ป่วย และตรวจดูอาการผู้ป่วยที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น พบว่าผู้ป่วยหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้นแล้ว “ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจวายเฉียบพลัน สิ้นใจได้พักใหญ่แล้ว รู้สึกเสียใจด้วยจริงๆ ครับ…” หมอกล่าวกับญาติผู้ป่วยในที่สุด เหตุการณ์ในทำนองนี้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยคนแล้วคนเล่า
คือ โรคความดันเลือดสูง
คนที่เป็นโรคความดันเลือดสูงส่วนใหญ่จะเป็นโดยไม่รู้ตัว เพราะจะไม่มีอาการอะไรบ่งบอก จะรู้ได้ต่อเมื่อใช้เครื่องมือตรวจวัดความดันเท่านั้น คนที่เป็นโรคนี้เมื่อได้รับยารักษา จะรู้ว่าโรคทุเลาหรือไม่ ก็มีอยู่ทางเดียว คือ การตรวจวัดความดันเลือด ส่วนพวกที่เคยให้หมอตรวจ พบว่าเป็นความดันสูง เมื่อกินยาได้ไม่กี่วัน นึกว่าสบายดีแล้ว ก็ไม่ยอมกลับไปให้หมอตรวจซ้ำ จึงขาดยา ทั้งๆ ที่โรคนี้จำเป็นต้องอาศัยยาควบคุมไปเรื่อยๆ เมื่อปล่อยให้ความดันเลือดสูงอยู่นาน 5-10 ปี (โดยไม่รู้ตัว) ร่างกายก็ค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง (โดยไม่รู้ตัว) กล่าวคือ เส้นเลือดแดงที่นำเลือดไปเลี้ยงร่างกายจะค่อยๆ ตีบตันทุกส่วน ทำให้อวัยวะต่างๆ ขาดเลือดไปเลี้ยง อวัยวะเหล่านี้ก็จะค่อยๆ เสื่อมสลาย คล้ายต้นไม้ที่ค่อยๆ เฉาตายเพราะขาดน้ำ จนในที่สุดก็เกิดโรคหัวใจ โรคอัมพาต โรคไตพิการ โรคตาบอด แทรกซ้อนจนยากที่จะเยียวยาได้
เราจะได้ข่าวว่าคนนี้ปุปปับเป็นโรคหัวใจหรือเส้นเลือดในสมองแตกตาย คนนั้นจู่ๆ เป็นอัมพาตนอนแบบหรือเดินไม่ได้ คนโน้นอยู่ๆ เป็นโรคไตพิการไม่ทำงาน ความจริงคนเหล่านี้ใช่ว่าจะปุบปับกลายเป็นโรคร้ายเหล่านี้ก็หาไม่ แต่ได้ถูกโรคความดันสูงบั่นทอนอย่างไม่รู้ตัวมานานแล้วต่างหาก
หากจะกล่าวว่า โรคความดันสูงเป็นเสมือน “มัจจุราชมืด” ที่คอยคุกคามชีวิตอย่างเงียบกริบ คงไม่ผิดกระมัง!
โรคเบาหวาน แต่ถ้าเป็นเล็กน้อย ก็มักจะไม่แสดงอาการอะไร
โรคเบาหวาน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง (โดยผู้ป่วยไม่รู้ตัว) นานปีเข้าก็จะเกิดโรคแทรกซ้อนมาเป็นขบวนได้
นอกจากนี้ยังมีโรคในกลุ่มนี้ที่ไม่แสดงอาการในทำนองเดียวกันอีกหลายชนิด เช่น ภาวะไขมันในเลือดสูง (ผู้ป่วยจะลงเอยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน) ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (ลงเอยด้วยโรคเกาต์ซึ่งเป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง) โรคต้อหินเรื้อรัง (ลงเอยด้วยอาการตาบอด) เป็นต้น รวมทั้งโรคมะเร็งในระยะเริ่มแรก ก็มักจะไม่มีอาการแสดง หากมีอาการปรากฏ ก็มักเป็นถึงขั้นร้ายแรงเกินที่จะเยียวยาเสียแล้ว
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ก็คือ โรคฮิตแห่งยุคมหาภัยเอดส์ นี่ไง
คนที่มีเชื้อเอดส์ในร่างกาย จะไม่แสดงอาการอะไรให้รู้สึกนานเป็นแรมปี ก่อนที่จะมีอาการของโรคเอดส์แบบเต็มรูปปรากฏให้เห็น (เมื่อถึงตอนนั้น ก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน) คนเหล่านี้ แม้เราจะกินข้าว ทำงาน เล่นด้วยกับเขา ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขามีเชื้อเอดส์อยู่ในร่างกาย แต่ถ้าใครไปใช้เข็มฉีดยา หรือมีเพศสัมพันธ์กับเขา หรือรับเลือดจากเขา ก็จะรับเชื้อเอดส์เข้ามาโดยไม่ทันรู้ตัวได้
โรคตับอักเสบจากไวรัสที่ฮือฮาในหมู่คนไทยก็เช่นกัน คนที่มีเชื้อไวรัสชนิดนี้ในร่างกายจะไม่มีอาการแสดง แต่จะสามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นโดยวิธีเดียวกันกับโรคเอดส์
โรคติดเชื้ออื่นๆ เช่น หัดเยอรมัน บางคนอาจเป็นโรคนี้โดยไม่แสดงอาการ และทำให้ทารกในครรภ์พิการได้
เชื้อบิด เชื้ออหิวาต์ เชื้อทัยฟอยด์ ก็อาจจะหลบซ่อนอยู่ในลำไส้คน โดยไม่ได้ทำให้คนๆนั้นเป็นโรค (เรียกว่า พาหะ) แต่จะแพร่เชื้อให้คนอื่นๆ โดยทาง