สถานการณ์ทั่วโลก

วันที่ 14 สิงหาคม 2567 องค์การอนามัยโลกประกาศให้โรคฝีดาษลิงเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (PHEIC : Public Health Emergency of International Concern) เนื่องจากมีการระบาดของโรคฝีดาษลิงในทวีปแอฟริกา พบรายงานผู้ป่วยโรคฝีดาษลิง clade I นอกทวีปแอฟริกา รวมทั้งในประเทศไทย

ไวรัสฝีดาษลิง

เรียกว่า Monkeypox เพราะพบไวรัสครั้งแรกในการระบาดของลิงกลุ่มหนึ่งที่ป่วยจากการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ในปี ค.ศ. 1950 พบการติดเชื้อในมนุษย์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1970 ในประเทศ Congo เป็นไวรัสใน family Orthopoxvirus ซึ่งอยู่ใน family เดียวกับไวรัส variola ไวรัส vaccinia (ที่นำมาทำวัคซีนโรคฝีดาษ) และไวรัส cowpox เป็นไวรัสที่ก่อโรคโดยการติดต่อจากสัตว์สู่คน (zoonotic) และจากคนสู่คน เป็นไวรัสประจำถิ่นในประเทศในทวีปแอฟริกา ส่วนใหญ่ในเขตป่าดิบชื้น

สัตว์ที่เป็นพาหะของโรค (Animal Reservoir)

ได้แก่สัตว์ฟันแทะ เช่น กระรอกดิน (Prairie Dog) ที่เป็นพาหะแพร่เชื้อในการระบาดครั้งใหญ่ในประเทศอเมริกาในปี ค.ศ. 2003 จากการนำเข้ากระรอกดินทางเรือจากทวีปแอฟริกา และพบในสัตว์ชนิดอื่นๆ เช่น กระรอก ลิง หนู เป็นต้น

การติดต่อ (Transmission)

  • การติดต่อจากสัตว์สู่คน: โดยการสัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อ โดยสัมผัสสัตว์ สัมผัสสารน้ำของสัตว์ การทำความสะอาดสถานที่ที่สัตว์อาศัยอยู่ การถูกสัตว์กัดหรือข่วน
  • การติดต่อจากคนสู่คน:
    • การสัมผัส (Contact Transmission) และได้รับละอองฝอยจากสารคัดหลั่ง (Droplet Transmission)
    • เชื้อไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางระบบทางเดินหายใจ (respiratory tract) เยื่อบุต่างๆ (mucous membranes) เช่น ทางตา ทางปาก และทางผิวหนังที่มีบาดแผล (broken skin) เช่น ถูกสัตว์กัด
    • โดยการสัมผัสถูกละอองฝอยหรือสารน้ำของผู้ติดเชื้อ (body fluids) เช่น ถูกไอจามรดใส่ (respiratory droplets) การมีเพศสัมพันธ์ การสัมผัสถูกผื่นของผู้ติดเชื้อ (lesion material) หรือสัมผัสสิ่งของหรือพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อ (contaminated materials and surface material) รวมถึงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อภายในระยะใกล้กว่า 1 เมตรโดยไม่ได้ใส่อุปกรณ์ป้องกัน
    • Vertical Transmission: การติดเชื้อจากแม่สู่ลูก

ระยะฟักตัวของโรค

ระยะฟักตัว 5-21 วัน: ผู้ป่วยจะไม่มีอาการ อาจตรวจพบไวรัสในเลือดได้ในช่วงท้ายของระยะฟักตัว (viremia)

การดำเนินโรค

แบ่งเป็น 3 ระยะได้แก่:

  • ระยะไข้: 1-4 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ และอาจพบต่อมน้ำเหลืองโต อาการอื่นๆ ได้แก่ ปวดศีรษะ หนาวสั่น เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย อาจพบรอยโรคในปากได้ในช่วงท้ายๆ ของระยะไข้ เรียกว่า enanthem (erythema spot on mucous membrane)
  • ระยะผื่น: 2-4 สัปดาห์ ผื่นจะเริ่มจาก จุดแดงๆ-> ตุ่ม-> ตุ่มน้ำใส-> ตุ่มหนอง-> ตกสะเก็ด ผื่นจะเป็นระยะเดียวกันทั้งหมด ในการระบาดในปี พ.ศ. 2565 พบว่า ผื่นจะพบได้บ่อยในบริเวณอวัยวะเพศ และบางรายพบในช่องปาก รวมทั้งอาจพบร่วมกับการติดเชื้ออื่นๆ เช่น การติดเชื้อไวรัส HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ด้วย
  • ระยะฟื้นตัว: อาจมีแผลเป็นได้

ภาวะแทรกซ้อนของโรค

  • ภาวะแทรกซ้อนต่อดวงตา อาจพบการติดเชื้อที่กระจกตา อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้
  • การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่ผิวหนัง
  • การติดเชื้อในปอด
  • สมองอักเสบ
  • เกิดแผลเป็นที่ผิวหนังบริเวณรอยโรค

อัตราการเสียชีวิต

  • Clade I: 1-11%
  • Clade II: 1-6%

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรืออาการรุนแรงของโรค

  • ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วย HIV ที่มี CD4 < 200 cells/cu.mm มะเร็งเม็ดเลือด ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ได้รับการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น
  • หญิงตั้งครรภ์
  • เด็กอายุน้อยกว่า 8 ปี
  • ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจากสาเหตุอื่นที่เป็นอยู่เดิม หรือมีภาวะแทรกซ้อนจากสาเหตุโรคที่เป็นก่อนหน้า
  • พบรอยโรคในตำแหน่งที่อันตราย

การวินิจฉัยโรค

ตรวจสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส (RT-PCR DNA sequencing)

การรักษา

ประกอบด้วยการรักษาประคับประคองอาการ การรักษาด้วยยาต้านไวรัสตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ การป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ

 

เขียนโดย พญ. กัญญวิสาข์ ตั้งกิจวณิชย์เจริญ อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ