โรครัมเซย์ฮันท์ ซินโดรม ภาวะแทรกซ้อนจากโรคงูสวัด

“ โรครัมเซย์ฮันท์ ซินโดรม ” ภาวะแทรกซ้อนจากโรคงูสวัด เกิดขึ้นได้จากการติดเชื้อไวรัส Varicella Zoster Virus : VZV ซึ่งเป็นไวรัสตัวเดียวกับที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส เมื่อหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว แต่เชื้อไวรัสก็ยังหลบซ่อนอยู่ตามปมประสาท และแสดงอาการขึ้นในช่วงที่สภาวะร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าปกติหรือมีร่างกายอ่อนแอ พักผ่อนน้อย ซึ่งโรครัมเซย์ฮันท์ ซินโดรม จะทำให้เกิดการอ่อนแรงของใบหน้าครึ่งซีก เป็นผลจากเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 มีการอักเสบ เกิดความผิดปกติของเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อใบหน้าอัมพาตครึ่งซีกไปชั่วขณะ มักเกิดขึ้นบนใบหน้าเพียงข้างใดข้างหนึ่ง

ลักษณะอาการ

  • เกิดแผลที่ใบหู 1 ข้าง มีลักษณะเป็นผื่นแดงพุพอง มีอาการเจ็บแสบและเป็นหนองร่วมด้วย
  • มีอาการเจ็บหู สูญเสียการได้ยิน หรือมีเสียงดังอยู่ในหู
  • เกิดอัมพาตครึ่งซีกชั่วขณะบนใบหน้า
  • หลับตาได้ไม่สนิท เปลือกตาล่างเปิดออก
  • ยักคิ้วไม่ขึ้น
  • ไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ
  • ไม่สามารถขยับมุมปากได้หรือขยับได้ลดลง
  • เกิดน้ำรั่วที่มุมปากและไม่สามารถดูดน้ำจากหลอดได้

โรครัมเซย์ฮันท์ ซินโดรม เกิดกับใครได้บ้าง ?

  • สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส
  • ผู้สูงอายุที่มี 60 ปีขึ้นไป
  • เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • พักผ่อนไม่เพียงพอ มีความเครียดต่อเนื่อง
  • กลุ่มคนที่ทานยา Sterroid เป็นประจำ

การรักษาทางกายภาพบำบัด

  • ประคบร้อนที่บริเวณใบหน้า ซีกที่มีอาการ ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
  • กระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าด้วยไฟฟ้า เพื่อชะลอการลีบของกล้ามเนื้อ
  • การนวดใบหน้า เพื่อช่วยผ่อนคล้ายกล้ามเนื้อ และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
  • การบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้ตามปกติ

ข้อควรปฏิบัติระหว่างรักษาโรครัมเซย์ฮันท์ ซินโดรม

  • พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด
  • รับประทานผักผลไม้ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  • เมื่อออกจากบ้านควรใส่แว่นตาหรือหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันฝุ่นละออง
  • ระมัดระวังน้ำเข้าตาระหว่างล้างหน้า
  • ควรหลับตาบ่อย ๆ
  • ควรออกกำลังกายกล้ามเนื้อใบหน้า

โรครัมเซย์ฮันท์ ซินโดรมหรือใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกเป็นโรคที่สามารถฟื้นตัวและค่อยๆ ดีขึ้นได้เอง 85% ของผู้ป่วยจะดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ และประมาณ 60 – 80% ของผู้ป่วย จะฟื้นตัวได้เป็นปกติ การตรวจร่างกายและการตรวจการทำงานของประสาทและกล้ามเนื้อเป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกันการเกิดโรคได้ รวมถึงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสในเด็กเล็ก ตั้งแต่ 1 ขวบ สามารถป้องกันการเกิดโรคได้ในระยะยาวอีกด้วย