โรคหลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic Stroke) คือภาวะที่หลอดเลือดในสมองเกิด การตีบแคบหรืออุดตัน ส่งผลให้เลือดและออกซิเจนไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้อย่างเพียงพอ ทำให้เซลล์สมองในบริเวณที่ขาดเลือดตายลง ส่งผลให้สมองสูญเสียการทำงานในบางส่วน ซึ่งอาจทำให้เกิดความบกพร่องในการเคลื่อนไหว การพูด การมองเห็น หรืออาจทำให้เป็นอัมพฤกษ์-อัมพาตได้
ผลกระทบต่อชีวิต
โรคหลอดเลือดสมองตีบส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิต เนื่องจากสมองควบคุมการทำงานของร่างกายทุกส่วน หากสมองส่วนใดเสียหาย จะเกิดการสูญเสียการทำงานของอวัยวะหรือความสามารถในส่วนนั้น ตัวอย่างผลกระทบที่พบบ่อย ได้แก่
- การเคลื่อนไหวผิดปกติ อัมพฤกษ์หรืออัมพาตครึ่งซีก (แขน-ขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง)
- การพูดและการสื่อสาร พูดไม่ชัดหรือพูดไม่ได้เลย
- ความจำเสื่อม สูญเสียความทรงจำบางส่วน หรือมีปัญหาด้านความคิดและการตัดสินใจ
- การทรงตัวและการเดิน เดินเซหรือไม่สามารถเดินได้เอง
- ปัญหาทางอารมณ์และจิตใจ ซึมเศร้าหรือวิตกกังวล เนื่องจากความพิการที่เกิดขึ้น
ในกรณีที่รุนแรงมาก อาจทำให้เสียชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
อาการของโรคหลอดเลือดสมองตีบ
อาการของโรคหลอดเลือดสมองตีบสามารถเกิดขึ้นได้อย่างกะทันหัน และมีหลายลักษณะ โดยมักใช้หลักการจำง่าย ๆ ด้วยคำว่า F.A.S.T.
- F (Face) ใบหน้าเบี้ยว มุมปากตกลงด้านหนึ่ง
- A (Arms) แขนหรือขาข้างหนึ่งอ่อนแรง หรือไม่สามารถยกแขนขึ้นได้
- S (Speech) พูดไม่ชัด พูดติดขัด หรือพูดไม่ได้เลย
- T (Time) หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบส่งโรงพยาบาลทันที
อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้
- สูญเสียการมองเห็นในตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง
- เวียนศีรษะเฉียบพลัน
- เดินเซ หรือเสียสมดุล
- ปวดศีรษะรุนแรงและเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ
หากพบอาการใดที่เข้าข่ายควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที ยิ่งได้รับการรักษาเร็วเท่าไร โอกาสฟื้นตัวจะยิ่งสูงขึ้น
สาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองตีบ
สาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองตีบส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการอุดตันของหลอดเลือดสมอง ทำให้เลือดไม่สามารถไหลผ่านไปเลี้ยงสมองได้ ซึ่งมี 3 สาเหตุหลัก ได้แก่
- การสะสมของไขมันในหลอดเลือด (Atherosclerosis) ไขมัน (คอเลสเตอรอล) และคราบพลัค (plaque) เกาะสะสมในผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง จนกระทั่งเกิดการอุดตัน
- ลิ่มเลือด (Thrombosis) ลิ่มเลือดก่อตัวขึ้นโดยตรงในหลอดเลือดสมองเอง ทำให้เลือดไม่สามารถไหลผ่านหลอดเลือดนั้นได้
- ลิ่มเลือดหลุดจากที่อื่น (Embolism) ลิ่มเลือดที่ก่อตัวในส่วนอื่นของร่างกาย (เช่น หัวใจ) หลุดลอยไปตามกระแสเลือดแล้วไปอุดหลอดเลือดในสมอง
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดหลอดเลือดสมองตีบ
- ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งที่ทำให้หลอดเลือดเสื่อมและตีบลง
- ไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia) ไขมันชนิดไม่ดี (LDL) สูงทำให้เกิดคราบไขมันในหลอดเลือด
- โรคเบาหวาน (Diabetes) น้ำตาลในเลือดสูงทำลายผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพ
- โรคหัวใจ (Heart Disease) หัวใจเต้นผิดปกติ (เช่น ภาวะหัวใจสั่นพริ้ว หรือ Atrial Fibrillation) ทำให้เกิดลิ่มเลือดที่หัวใจแล้วหลุดไปอุดหลอดเลือดสมอง
- การสูบบุหรี่ นิโคตินทำให้หลอดเลือดหดตัวและทำให้เกิดการสะสมของไขมันในหลอดเลือด
- โรคอ้วน น้ำหนักเกินทำให้ความดันโลหิตสูง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวาน
การรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบ
- ยาสลายลิ่มเลือด (tPA – Tissue Plasminogen Activator) เป็นยาที่ฉีดเข้าหลอดเลือดเพื่อสลายลิ่มเลือดในสมอง ต้องให้ยาภายใน 4.5 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ
- การผ่าตัดดึงลิ่มเลือด (Thrombectomy) ใช้สายสวนหลอดเลือดเข้าไปถึงจุดที่ลิ่มเลือดอุดตัน แล้วนำลิ่มเลือดออกจากหลอดเลือด
- การใช้ยาป้องกันการเกิดซ้ำ ใช้ยาต้านเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน หรือ คลอพิโดเกรล (Clopidogrel) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดซ้ำ
- การรักษาโรคร่วม ควบคุมโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือด
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองตีบ
- ควบคุมความดันโลหิต วัดความดันเป็นประจำ และควบคุมให้ต่ำกว่า 140/90 มม.ปรอท
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวาน
- ควบคุมไขมันในเลือด รับประทานอาหารที่มีไขมันดี (HDL) และลดอาหารไขมันทรานส์
- เลิกสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงของหลอดเลือดสมองตีบหลายเท่า
- ออกกำลังกายเป็นประจำ ควรออกกำลังกายวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์
- ควบคุมน้ำหนัก ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง
- รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ เลือกอาหารที่มีใยอาหารสูง หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมสูง
หากพบว่ามีอาการใดที่เข้าข่าย FAST หรือมีปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าว ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะ “เวลา” เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง ยิ่งรักษาเร็ว โอกาสฟื้นตัวก็ยิ่งสูงขึ้น