โรคหิด (Scabies) เกิดจากการติดเชื้อของ Sarcoptes scabiei สายพันธุ์ hominis ซึ่งเป็นไรขนาดเล็กที่ฝังตัวและขุดโพรงในชั้นผิวหนังของมนุษย์ ตัวไรเพศเมียจะวางไข่ในชั้น stratum corneum ทำให้เกิดอาการคันอย่างรุนแรงโดยเฉพาะในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นผลจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อสารที่ตัวไรขับออกมาและการเคลื่อนไหวของมันในผิวหนัง

วิธีการตรวจคัดกรองและวินิจฉัยโรคหิด

การวินิจฉัยโรคหิดมักอาศัยจากการซักประวัติและตรวจร่างกายร่วมกัน โดยแพทย์จะสังเกตอาการคันที่มากในเวลากลางคืน ร่วมกับลักษณะของผื่น เช่น รอยขีดเป็นเส้นเล็กๆ (burrows) ตุ่มแดงหรือตุ่มน้ำใส ซึ่งมักพบในซอกนิ้วมือ ข้อมือ รักแร้ รอบหัวนม รอบอวัยวะเพศ หรือรอบเอว

การตรวจเพิ่มเติมที่ใช้ยืนยัน ได้แก่

  • Skin scraping test: การขูดผิวหนังจากบริเวณที่มีตุ่มหรือ burrows แล้วส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อหาตัวไร ไข่ หรือมูลของมัน
  • Dermatoscopy: ใช้กล้องกำลังขยายสูงช่วยระบุ burrow และตัวไร
  • Ink test: หยดหมึกบนผิวหนังแล้วล้างออก หากมี burrows หมึกจะเข้าไปในโพรง ทำให้เห็นเป็นเส้นดำ

ตุ่มน้ำใสควรเจาะหรือไม่

ไม่ควรเจาะตุ่มน้ำใสที่เกิดจากโรคหิด เพราะการเจาะอาจเปิดโอกาสให้เชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนและเกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อนได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีการเกาอย่างรุนแรง หากมีตุ่มน้ำขนาดใหญ่หรือมีอาการเจ็บ แพทย์อาจเป็นผู้พิจารณาทำหัตถการด้วยวิธีปลอดเชื้อ

โรคหิดเป็นอันตรายและติดต่อหรือไม่

โรคหิด ติดต่อได้ง่าย ผ่านการสัมผัสผิวหนังโดยตรงกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ โดยเฉพาะหากเป็นการสัมผัสเป็นเวลานาน เช่น การนอนร่วมเตียง หรือใช้ผ้า เครื่องนอน ผ้าเช็ดตัวร่วมกัน โรคหิดไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมากจากอาการคันและการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน (secondary infection)

ใช้เวลากี่วันถึงจะหาย และมีวิธีการรักษาอย่างไร

หากรักษาอย่างเหมาะสม โรคหิดสามารถหายได้ภายใน 1–2 สัปดาห์

ยาที่ใช้ในการรักษา ได้แก่

  • Permethrin 5% cream: ทาทั่วร่างกายตั้งแต่คอลงไป ทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วล้างออก ทำซ้ำอีกครั้งใน 7 วัน
  • Benzyl benzoate หรือ Sulfur ointment: ใช้ในผู้ที่แพ้ permethrin
  • Ivermectin (ยากิน): ใช้ในรายที่เป็นมาก หรือแพร่กระจายกว้าง (เช่น crusted scabies) โดยให้ยา 2 ครั้งห่างกัน 1 สัปดาห์
  • ร่วมกับการรักษาอาการคันด้วยยาแก้แพ้ (antihistamines) หรือยาทา steroid อ่อนๆ ในช่วงหลังการรักษา
  • ต้องรักษาทุกคนในครอบครัวหรือผู้สัมผัสใกล้ชิดพร้อมกัน แม้ไม่มีอาการ เพื่อป้องกันการติดซ้ำ

การป้องกันการเป็นซ้ำ

  • ซักผ้า เสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน และผ้าเช็ดตัวด้วยน้ำร้อนอย่างน้อย 60°C แล้วอบให้แห้งสนิท
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
  • หากพบผู้ป่วยควรรักษาและตรวจสอบผู้สัมผัสในครอบครัวทันที
  • รักษาสุขอนามัยของร่างกายและที่อยู่อาศัยอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหนังกับบุคคลที่สงสัยว่าติดโรค

บทสรุป

โรคหิดเป็นโรคผิวหนังที่ติดต่อได้ง่ายแต่สามารถรักษาให้หายได้อย่างสมบูรณ์หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง การวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาผู้สัมผัสร่วมกันคือกุญแจสำคัญในการควบคุมไม่ให้เกิดการระบาดซ้ำ