โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจที่แพร่กระจายได้ง่าย และมักระบาดในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวของทุกปี ไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการกลายพันธุ์อยู่เสมอ ทำให้ร่างกายที่เคยติดเชื้อมาแล้วยังคงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ได้ การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ไข้หวัดใหญ่มีความรุนแรงและอันตรายมากกว่าไข้หวัดธรรมดาดังนี้
- อาการรุนแรงกว่า ไข้หวัดใหญ่มักมีอาการรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา เช่น มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก หนาวสั่น ไอรุนแรง อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนและท้องเสียร่วมด้วย ทำให้ร่างกายอ่อนแอและต้องพักรักษาตัวเป็นเวลานาน
- เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนมากกว่า ไข้หวัดใหญ่สามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ง่ายกว่า อาทิ ปอดบวม หลอดลมอักเสบ ภาวะหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ที่มีโรคประจำตัว
- มีอัตราป่วยรุนแรงและเสียชีวิตสูงกว่า องค์การอนามัยโลกระบุว่า ทุกปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่ราว 290,000-650,000 รายทั่วโลก ขณะที่ไข้หวัดธรรมดาไม่มีอัตราป่วยรุนแรงและเสียชีวิตสูงอย่างนั้น
- การแพร่กระจายรวดเร็วกว่าและกว้างขวางกว่า เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แพร่กระจายได้ง่ายและรวดเร็วกว่า เนื่องจากเป็นเชื้อใหม่ที่ร่างกายยังไม่มีภูมิคุ้มกัน และมีการกลายพันธุ์เรื่อยๆ จึงสามารถแพร่ระบาดเป็นวงกว้างได้มากกว่าไข้หวัดธรรมดา
ดังนั้น แม้อาการไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดธรรมดาจะคล้ายกัน แต่ไข้หวัดใหญ่ย่อมมีความรุนแรงและอันตรายมากกว่า จึงมีความจำเป็นต้องได้รับการป้องกันด้วยการฉีดวัคซีนเป็นประจำ
กลุ่มเสี่ยง ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเจ็บป่วยรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ ได้แก่
- ผู้สูงอายุ (อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป) เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันลดลงตามวัย
- เด็กเล็ก โดยเฉพาะอายุต่ำกว่า 2 ปี เพราะระบบภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์
- หญิงมีครรภ์ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและภูมิคุ้มกันลดลง
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอดเรื้อรัง โรคไต โรคเบาหวาน เป็นต้น ซึ่งมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแล้ว
- ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ได้รับยาเคมีบำบัด
- ผู้ที่มีภาวะอ้วนลงพุง เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนทางระบบหายใจ
- ผู้พิการทางสมองและระบบประสาท เช่น ผู้ป่วยอัมพาต เป็นต้น
- ผู้สูงอายุที่อาศัยในสถานดูแลผู้สูงอายุ เนื่องจากใกล้ชิดกับผู้อื่นทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง
- บุคลากรทางการแพทย์ ที่มีโอกาสสัมผัสเชื้อไวรัสในโรงพยาบาล
กลุ่มเหล่านี้จึงควรได้รับคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปีอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้
ประสิทธิภาพของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ในการป้องกันการป่วยนั้นจะแตกต่างกันในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้
- ความสอดคล้องระหว่างสายพันธุ์ของไวรัสในวัคซีนกับสายพันธุ์ที่ระบาด หากสายพันธุ์ของไวรัสในวัคซีนตรงกับสายพันธุ์ที่กำลังระบาดในปีนั้น วัคซีนจะมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อได้ประมาณ 60-70% แต่หากสายพันธุ์ไวรัสมีการกลายพันธุ์ไปมาก ประสิทธิภาพจะลดลงเหลือ 30-60% เท่านั้น
- ปัจจัยของผู้รับวัคซีน ประสิทธิภาพของวัคซีนจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับอายุ ภาวะสุขภาพ และระบบภูมิคุ้มกันของผู้รับวัคซีน โดยทั่วไปวัคซีนจะมีประสิทธิภาพดีกว่าในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ร่างกายแข็งแรง
- ในเด็กและผู้ใหญ่สุขภาพดี ประสิทธิภาพประมาณ 60-70%
- ในผู้สูงอายุอายุ 65 ปีขึ้นไป ประสิทธิภาพประมาณ 30-50%
- ในหญิงตั้งครรภ์ ประสิทธิภาพประมาณ 50-60%
- ระยะเวลาหลังฉีดวัคซีน หลังฉีดวัคซีนไป 2 สัปดาห์จะเริ่มมีภูมิคุ้มกันดี ภูมิคุ้มกันจะสูงสุดในช่วงประมาณ 5-6 เดือนแรก หลังจากนั้นภูมิคุ้มกันจะค่อยๆ ลดลง ดังนั้นจึงมีคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี
โดยสรุป แม้ว่าไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100% แต่การฉีดวัคซีนก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยจากไข้หวัดใหญ่ลงได้มาก ช่วยลดโอกาสการนอนโรงพยาบาล หรือเสียชีวิตจากโรคนี้