ในช่วงเวลาที่โรคหัดเริ่มกลับมาระบาดในหลายพื้นที่ สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่แค่การแพร่กระจายที่รวดเร็วของเชื้อไวรัสเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภาวะแทรกซ้อนที่อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยและอันตรายคือ “ภาวะปอดล้มเหลว” ซึ่งเป็นภาวะที่ปอดไม่สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

ไวรัสหัดส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจโดยตรง เมื่อติดเชื้อ ร่างกายจะเริ่มตอบสนองด้วยการอักเสบ ซึ่งในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ การอักเสบนั้นอาจลุกลามจนกลายเป็นปอดอักเสบ หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม ท้ายที่สุดปอดอาจเสียความสามารถในการทำงาน นำไปสู่ภาวะปอดล้มเหลว ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เช่น การให้ออกซิเจน การใช้เครื่องช่วยหายใจ และการดูแลในหอผู้ป่วยวิกฤต

เมื่อมีการระบาดของไวรัสหัด การดูแลตนเองและป้องกันการติดเชื้อมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ

การดูแลรักษา

การดูแลตนเองควรครอบคลุมทั้งการป้องกันและการรับมือเบื้องต้นหากมีอาการ โดยสามารถสรุปได้ดังนี้

1. รับวัคซีนให้ครบถ้วน

หัดสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน MMR (Measles, Mumps, Rubella) ซึ่งควรได้รับตามเกณฑ์ โดยทั่วไปคือ 2 เข็มในวัยเด็ก หากไม่แน่ใจว่าตนเองเคยรับวัคซีนหรือไม่ สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนกระตุ้นได้

2. หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงและผู้ที่มีอาการ

ไวรัสหัดติดต่อได้ง่ายมากผ่านทางละอองฝอยจากการไอหรือจาม ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ป่วยหรือพื้นที่ที่มีการระบาด โดยเฉพาะหากยังไม่ได้รับวัคซีนหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ

3. สวมหน้ากากอนามัย

การสวมหน้ากากอนามัยสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการรับเชื้อ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในที่แออัดหรือสถานพยาบาล

4. ล้างมือบ่อย ๆ

หมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังสัมผัสสิ่งของสาธารณะ ก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ

5. สังเกตอาการเบื้องต้น

อาการเริ่มต้นของหัด ได้แก่ มีไข้สูง ไอ มีน้ำมูก ตาแดง ต่อมาจะมีผื่นแดงขึ้นที่ใบหน้าและลามลงลำตัว หากพบว่ามีอาการคล้ายหัด ควรแยกตัวและรีบพบแพทย์ทันที

6. พักผ่อนและดูแลร่างกายให้แข็งแรง

นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารมีประโยชน์ ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้พร้อมต่อสู้กับเชื้อโรค