โรคเริมเกิดจากอะไร
โรคเริมเกิดจากการติดเชื้อไวรัส Herpes simplex (HSV) จากการสัมผัสรอยโรค หรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยโรคเริมรายอื่น
อาการของโรคเริม
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการในวันแรกๆหลังจากได้รับเชื้อครั้งแรก ในผู้ป่วยบางส่วนจะมีอาการหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 2-12 วัน โดยจะพบมีตุ่มน้ำบริเวณผิวหนังที่ริมฝีปาก บริเวณอวัยวะเพศ หรือผิวหนังบริเวณอื่นที่สัมผัสเชื้อ
ในบางราย อาจจะมีอาการไข้ ปวดตามตัว ปวดศีรษะ หรือมีต่อมน้ำเหลืองโตร่วมร่วมด้วย
ลักษณะตุ่มน้ำใสที่พบจะเรียงตัวเป็นกลุ่ม หลังจากนั้นจะแตกออกเป็นแผลตื้นๆ มีอาการเจ็บและ ปวดแสบปวดร้อนบริเวณแผล แผลจะค่อยๆ แห้ง ตกสะเก็ดและหายในระยะเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์
ในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้นกันบกพร่อง อาจมีการติดเชื้อไวรัสในอวัยวะอื่นๆ ได้ เช่น การติดเชื้อบริเวณตา การติดเชื้อในระบบประสาท การติดเชื้อที่ตับ การติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น
โรคเริมสามารถเป็นซ้ำได้หรือไม่
โรคเริมสามารถเป็นซ้ำใหม่ได้ เมื่อมีปัจจัยบางอย่างกระตุ้น เช่น ความเครียด การเจ็บป่วยจากโรคอื่น ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง การผ่าตัดที่กระทบกระเทือนต่อระบบประสาทที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัส HSV
โรคเริมที่กลับเป็นซ้ำบริเวณผิวหนังจะมีอาการจะน้อยกว่าอาการของโรคเริมภายหลังการติดเชื้อครั้งแรก
การรักษาและการปฏิบัติตัวผู้ป่วยโรคเริม
การรักษาโรคเริม รักษาโดยการรับประทานยาต้านไวรัส เช่น ยา Acyclovir, Valacyclovir หรือ Famciclovir การให้ยาภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมงหลังมีอาการ จะช่วยให้รอยโรคทางผิวหนังหายได้เร็วขึ้น และลดระยะเวลาการปวดแผล ส่วนการใช้ยาต้านไวรัสชนิดทามีประโยชน์น้อย
การป้องกันเริมกลับเป็นซ้ำ
- ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นการกลับเป็นซ้ำของโรค
- ในกรณีที่มีการกลับเป็นซ้ำของโรคมากกว่า 6 ครั้งต่อปี หรือมีอาการรุนแรงเมื่อกลับเป็นซ้ำ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการรับประทานยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรค