วัคซีนมะเร็งปากมดลูก หรือวัคซีน HPV คือ วัคซีนสำหรับฉีดเพื่อป้องกันโอกาสการติดเชื้อไวรัส HPV ผ่านการเข้าไปสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านเชื้อไวรัสตัวนี้ในร่างกาย โดย
- วัคซีนจะออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดในผู้ที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน ส่วนผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้วและมาฉีดวัคซีนในภายหลังก็จะได้รับภูมิกระตุ้นสำหรับป้องกันโรคเช่นเดียวกัน แต่มักมีระดับที่น้อยกว่า
- วัคซีนป้องกันโอกาสเกิดโรคได้ 70% เท่านั้น คุณยังต้องใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรืองดพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อยู่
- ต้องมาฉีดหลายครั้ง โดยต้องฉีดให้ครบ 3 เข็มในทุกๆ คน จึงจะได้รับภูมิคุ้มกันอย่างเต็มที่
เชื้อไวรัสเอชพีวี (Human Papilloma Virus: HPV) หรือที่มีอีกชื่อเรียกว่า “ไวรัสหูด” คือ เชื้อไวรัสที่เป็นตัวการก่อโรคบริเวณอวัยวะเพศ อวัยวะสืบพันธุ์ และทวารหนัก สามารถแพร่กระจายได้ผ่านการสัมผัสโดยตรงหรือการมีเพศสัมพันธ์เป็นหลัก
Q : เชื้อไวรัส HPV มีกี่ชนิด กี่สายพันธุ์ ก่อโรคอะไรได้บ้าง ?
A : เชื้อไวรัส HPV มีมากกว่า 200 สายพันธุ์ โดยสามารถแบ่งประเภทของสายพันธุ์ได้ 2 กลุ่ม ดังนี้
- สายพันธุ์กลุ่มที่ความเสี่ยงเกิดโรคต่ำ แต่ก็สามารถก่อให้เกิดบางโรคได้ เช่น โรคหูดหงอนไก่ ตัวอย่างสายพันธุ์ในกลุ่มนี้จะได้แก่ กลุ่มสายพันธุ์ 6, 11, 40, 42, 43, 44, 54
- สายพันธุ์กลุ่มที่ความเสี่ยงเกิดโรคสูง โดยมีความรุนแรงในการเข้าไปเปลี่ยนเซลล์ที่ระบบสืบพันธุ์จนเกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด เช่น โรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งช่องคลอด ตัวอย่างสายพันธุ์ในกลุ่มจะได้แก่ กลุ่มสายพันธุ์ 16, 18, 31, 33, 35, 39, 45
เชื้อไวรัส HPV ไม่ได้แพร่กระจายในกลุ่มผู้หญิงเพียงอย่างเดียว แต่สามารถต่อต่อกันผ่านการมีเพศสัมพันธ์ไปสู่เพศชายได้ด้วย และสามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งในเพศชายได้ เช่น โรคมะเร็งองคชาต โรคมะเร็งช่องปากและลำคอ โรคมะเร็งทวารหนัก
Q : วัคซีนมะเร็งปากมดลูกมีกี่ชนิด?
A : วัคซีนมะเร็งปากมดลูกสามารจำแนกชนิดได้ 3 รูปแบบ ได้แก่
- วัคซีนชนิดป้องกันได้ 2 สายพันธุ์ มีชื่อเรียกว่า “วัคซีน Cervarix” ได้แก่ สายพันธุ์ที่ 16 และ 18
- วัคซีนชนิดป้องกันได้ 4 สายพันธุ์ มีชื่อเรียกว่า “วัคซีน Gardasil” ได้แก่ สายพันธุ์ที่ 16, 18, 6 และ 11
- วัคซีนป้องกันได้ 9 สายพันธุ์ มีชื่อเรียกว่า “วัคซีน Human Papillomavirus 9-valent Vaccine” ได้แก่ 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52, 58
Q : วัคซีนมะเร็งปากมดลูกเหมาะกับใคร
A : วัคซีนมะเร็งปากมดลูกเป็นวัคซีนที่จำเป็นต่อประชาชนทุกคนและทุกเพศอย่างไม่มีข้อยกเว้น โดยมีจำนวนเข็มและความถี่ในการฉีดดังต่อไปนี้
- เด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายทุกคนที่อายุ 9-15 ปี ให้ฉีดเพียง 2 เข็มก็พอ โดยห่างกันเข็มละ 6-12 เดือน
- ผู้ที่อายุมากกว่า 15 ปี ให้ฉีดทั้งหมด 3 เข็มได้เลย โดยระยะห่างเข็มที่หนึ่งไปเข็มที่สองจะอยู่ที่ 1-2 เดือน และเข็มที่สองไปเข็มที่สามจะอยู่ที่ 6 เดือน
Q : การเตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูก
A : ก่อนฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูก คุณไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ เพียงแค่พักผ่อนให้พอ และแจ้งโรคประจำตัวที่มีกับแพทย์ก่อนรับบริการเท่านั้น นอกจากนี้หากคุณกังวลเกี่ยวกับอาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน ก็อาจลางานหรือเตรียมเวลาพักผ่อนหลังฉีดไว้ประมาณ 1-2 วัน แต่โดยทั่วไปอาการที่เกิดขึ้นจะไม่รุนแรงจนส่งผลต่อชีวิตประจำวัน
Q : ผลข้างเคียงและอาการแพ้วัคซีนมะเร็งปากมดลูก
A : หลังจากฉีดวัคซีน คุณอาจเผชิญอาการข้างเคียงบางอย่างได้ ซึ่งโดยปกติจะอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรง เช่น
- ผิวบวมบริเวณที่ฉีดยา
- ปวดศีรษะ
- เป็นไข้
- ปวดเมื่อยตามตัว
- อ่อนเพลีย
- คลื่นไส้อาเจียน
อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มผู้ที่รับวัคซีนบางคนก็มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงเหล่านี้อย่างรุนแรงขึ้นได้ หากคุณรู้สึกรับมือกับอาการข้างเคียงเหล่านี้ไม่ไหว หรืออาการรุนแรงจนกระทบชีวิตประจำวัน ให้กลับมาปรึกษาแพทย์โดยทันที
Q : ใครไม่ควรฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูก?
A : ผู้ที่มีเงื่อนไขตรงกับข้อดังต่อไปนี้ ควรปรึกษาแพทย์ถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับวัคซีนอย่างละเอียดเสียก่อน
- หญิงตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีประวัติแพ้วัคซีน
- ผู้ที่ภาวะเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันที่ไวต่อสารประกอบในวัคซีน
Q : วัคซีนมะเร็งปากมดลูก ป้องกันโรคได้นานไหม
A : จากผลวิจัยขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า วัคซีนมะเร็งปากมดลูกสามารถป้องกันโอกาสติดเชื้อ HPV ได้ยาวนานอย่างน้อย 6-11 ปีขึ้นไป
Q : เคยฉีดวัคซีนแบบ 2 หรือ 4 สายพันธุ์แล้ว ฉีด 9 สายพันธุ์ได้ไหม
A : คุณยังสามารถฉีดวัคซีนแบบ 9 สายพันธุ์ได้อีก แม้จะเคยฉีดวัคซีนแบบ 2 หรือ 4 สายพันธุ์มาแล้ว แต่จำเป็นต้องเว้นระยะห่างในการรับวัคซีนประมาณ 1 ปีจึงจะสามารถฉีดแบบ 9 สายพันธุ์ได้ หรือแพทย์อาจเป็นผู้กำหนดระยะห่างในการรับวัคซีนให้ครบทั้ง 3 รูปแบบเอง
Q : ฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูกแล้วต้องตรวจมะเร็งปากมดลูกไหม
A : ภายหลังจากรับวัคซีนไปแล้ว คุณยังต้องมีการตรวจสุขภาพ รวมถึงตรวจความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูกอยู่เสมอ โดยอาจ ขึ้นอยู่กับระดับภูมิคุ้มกันหรือตามคำแนะนำของแพทย์